The Hundred-Foot Journey Movie Review by FallsDownz
19 พ.ย. 57 19:02 น. /
ดู 580 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
The Hundred-Foot Journey Movie Review
บทวิจารณ์ภาพยนตร์ โดย FallsDownz
"รูปลักษณ์ภายนอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนมื้ออาหารอันแสนโอชะอลังการงานสร้างทั้งสีและกลิ่น แต่เมื่อได้รับประทานเข้าไปจริงๆแล้วทำให้ผู้เขียนทราบว่านอกจากมันจะไม่สุกดีแล้ว มันยังไร้รสชาติและจืดชืดสิ้นดีอีกด้วย"
เมื่อพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก มาจับมือกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ แถมยังได้ตัวผู้กำกับอย่าง ลาซเซ ฮัลสตรอม แห่ง Hachi : A Dog's Tale และ Dear John มาสมทบ ปิดท้ายด้วยนักแสดงนำหญิงสุดสง่าเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำ ในเมื่อชื่ออันดับต้นๆมารวมตัวกันขนาดนี้ มันจะประสบความล้มเหลวได้อย่างไรกัน ?
ซึ่ง The Hundred-Foot Journey ก็พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ (ไม่เกี่ยวกับปราปริก้า)
The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวอินเดียกลุ่มหนึ่งซึ่งย้ายไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และพวกเขาก็ได้เปิดร้านอาหารตรงข้ามกับร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งโดยที่หารู้ไม่ว่าการเปิดร้านครั้งนี้จะนำมาซึ่งเรื่องราวมากมายกว่าที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้
ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่มีภาพสวยงามเอามากๆ พูดจากใจเลยว่านี้เป็นด้านที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยมุมกล้องและการจัดแสงที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ผสมผสานกลิ่นไอของภาพยนตร์ยุโรปกับเอเชียได้ดี แถมยังถ่ายภาพอาหารต่างๆได้อย่างน่ารับประทานมากๆเลยทีเดียว ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้กำกับภาพอย่างไลนัส แซนด์เกรนไป ณ ที่นี้
แต่ก็นั้นแล การถ่ายภาพก็ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ดีจริงๆ ในขณะที่ส่วนอื่นๆของตัวมันเอง ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะน่าผิดหวังและครึ่งๆกลางๆพอสมควร
เฉกเช่นการกำกับ และโดยเฉพาะการเล่าเรื่องของผู้กำกับลาซเซ อัลสตรอมซึ่งจัดอยู่ในขั้นหนักหนาสาหัสเอาการ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องไม่เป็น แต่วิธีการเล่าเรื่องของเขามันเก่าและซ้ำซากจนเกินไป รวมถึงยังไร้ซึ่งชั้นเชิงสุดๆ เรียกได้ว่าเล่ากันแบบเหมือนตำราบอกมายังไงก็เล่าแบบนั้นเลยถึงแม้ว่าตำรานั้นมันอาจจะเก่าแก่เป็นสิบๆปีแล้วก็ตาม ซึ่งมันทำให้แทบจะทุกฉากในภาพยนตร์รู้สึกจืดชืด น่าเบื่อและเดาง่าย แถมยังไร้อารมณ์สุดๆ บางฉากก็ถูกเล่าเรื่องออกมาได้แข็งทื่อจนพาเอาผู้เขียนอดหัวเราะไม่ได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่เล่าเรื่องได้ลวกมากๆจนทำให้ตัวภาพยนตร์จบลงแบบไม่มีความน่าจดจำอะไรเลย
ตัวบทภาพยนตร์เองเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรมากมายนัก แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีหรือใกล้เคียงคำว่าดีเลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดตัวบทภาพยนตร์เองก็หลีกหนีพ้นจากความซ้ำซากจำเจและเดาง่ายในภาพยนตร์ประเภทนี้ไม่ได้เลย ด้วยบทที่เริ่มต้นแบบเดิม แล้วก็จบแบบเดิม ชนิดที่จะไม่มีฉากไหนที่จะทำให้คุณประหลาดใจได้อีกต่อไปแล้ว
ในด้านของตัวละครเองก็ไม่ได้ถูกเขียนมาได้ดีซักเท่าไรนัก มันเป็นตัวละครที่คุณมักจะเห็นในภาพยนตร์แนวนี้อยู่ตลอดเวลา เช่นป้าขี้วีน ขี้โวยวาย ชายแก่ซึ่งไม่ยอมใคร หรือหนุ่มผู้ช่างฝันต้องการจะพิสูจน์ตนเอง ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะได้นักแสดงชื่อดังและมากฝีมืออย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำก็ตามแต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายซักเท่าไรนักจากเหตุผลของบทภาพยนตร์และการกำกับ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองก็นำแสดงได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ตัวภาพยนตร์ก็ดันถ่ายทอดและเล่าตัวละครของเธอได้ลวกสุดๆซะอีก
แต่ก็ต้องขอบอกเลยว่าตัวผู้เขียนค่อนข้างจะสนใจในประเด็นของภาพยนตร์เรื่องนี้พอสมควร เช่น สภาวะชนชาติและชนชั้นในช่วงหลังยุคล่าอานานิคม เรื่องราวระหว่างชนชาติอินเดีย กับ ฝรั่งเศส หรืออาจจะพูดในอีกด้านหนึ่งได้ว่า การต่อสู้ของชนชาติที่ต่ำกว่ากับชนชาติสูงกว่า จุดที่แบ่งกั้นความสูงหรือต่ำมันอยู่ที่ใด ใครเป็นคนตัดสินชนชาติฝรั่งเศสซึ่งสร้างสรรค์เมนูอาหารที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้นเป็นชนชาติซึ่งเต็มไปด้วยอารยธรรมอันสูงส่งจริงหรือ
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามและประเด็นที่น่าสนใจเอามากๆ แต่น่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์กลับไม่สามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีซักเท่าไรนัก กลับกันเลยคือหลายๆคำถามก็ถูกตอบแบบครึ่งๆกลางๆ เพราะด้วยความย่ำแย่ของบทภาพยนตร์และการเล่าเรื่องที่แม้แต่การนำตัวภาพยนตร์ให้ผ่านแต่ละจุดไปได้ก็ดูจะย่ำแย่หนักหนาสาหัสแล้ว
ในท้ายที่สุดแล้ว The Hundred-Foot Journey ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆในแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ การกำกับ ตัวละคร หรือแม้แต่กระทั่งการถ่ายทอดประเด็นอันน่าสนใจ มันไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้ายซะทีเดียวแต่มันก็ดีกว่านี้ได้มาก ยังดีที่ตัวมันเองได้ผู้กำกับภาพอันมากฝีมือช่วยถ่ายทอดภาพอันงดงามเอาไว้ได้บ้าง มิเช่นนั้น นี้คงจะกลายเป็น 122 นาทีแห่งความน่าเบื่อชวนหลับเป็นแน่แท้
Final Score : [ C ]
อ่านบทวิจารณ์เก่าๆ ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆและติดตามแฟนเพจได้ที่นี้ครับ ส่วนแฟนเฟจบน Facebook มีอัพเดทตัวอย่างและข่าวสารภาพยนตร์รวมถึงวงการเกมเป็นประจำด้วยนะจ๊ะ
http://fallsdownz.blogspot.com/
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
บทวิจารณ์ภาพยนตร์ โดย FallsDownz
"รูปลักษณ์ภายนอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนมื้ออาหารอันแสนโอชะอลังการงานสร้างทั้งสีและกลิ่น แต่เมื่อได้รับประทานเข้าไปจริงๆแล้วทำให้ผู้เขียนทราบว่านอกจากมันจะไม่สุกดีแล้ว มันยังไร้รสชาติและจืดชืดสิ้นดีอีกด้วย"
เมื่อพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก มาจับมือกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ แถมยังได้ตัวผู้กำกับอย่าง ลาซเซ ฮัลสตรอม แห่ง Hachi : A Dog's Tale และ Dear John มาสมทบ ปิดท้ายด้วยนักแสดงนำหญิงสุดสง่าเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำ ในเมื่อชื่ออันดับต้นๆมารวมตัวกันขนาดนี้ มันจะประสบความล้มเหลวได้อย่างไรกัน ?
ซึ่ง The Hundred-Foot Journey ก็พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ (ไม่เกี่ยวกับปราปริก้า)
The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวอินเดียกลุ่มหนึ่งซึ่งย้ายไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และพวกเขาก็ได้เปิดร้านอาหารตรงข้ามกับร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งโดยที่หารู้ไม่ว่าการเปิดร้านครั้งนี้จะนำมาซึ่งเรื่องราวมากมายกว่าที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้
ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า The Hundred-Foot Journey เป็นภาพยนตร์ที่มีภาพสวยงามเอามากๆ พูดจากใจเลยว่านี้เป็นด้านที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยมุมกล้องและการจัดแสงที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ผสมผสานกลิ่นไอของภาพยนตร์ยุโรปกับเอเชียได้ดี แถมยังถ่ายภาพอาหารต่างๆได้อย่างน่ารับประทานมากๆเลยทีเดียว ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้กำกับภาพอย่างไลนัส แซนด์เกรนไป ณ ที่นี้
แต่ก็นั้นแล การถ่ายภาพก็ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ดีจริงๆ ในขณะที่ส่วนอื่นๆของตัวมันเอง ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะน่าผิดหวังและครึ่งๆกลางๆพอสมควร
เฉกเช่นการกำกับ และโดยเฉพาะการเล่าเรื่องของผู้กำกับลาซเซ อัลสตรอมซึ่งจัดอยู่ในขั้นหนักหนาสาหัสเอาการ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องไม่เป็น แต่วิธีการเล่าเรื่องของเขามันเก่าและซ้ำซากจนเกินไป รวมถึงยังไร้ซึ่งชั้นเชิงสุดๆ เรียกได้ว่าเล่ากันแบบเหมือนตำราบอกมายังไงก็เล่าแบบนั้นเลยถึงแม้ว่าตำรานั้นมันอาจจะเก่าแก่เป็นสิบๆปีแล้วก็ตาม ซึ่งมันทำให้แทบจะทุกฉากในภาพยนตร์รู้สึกจืดชืด น่าเบื่อและเดาง่าย แถมยังไร้อารมณ์สุดๆ บางฉากก็ถูกเล่าเรื่องออกมาได้แข็งทื่อจนพาเอาผู้เขียนอดหัวเราะไม่ได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่เล่าเรื่องได้ลวกมากๆจนทำให้ตัวภาพยนตร์จบลงแบบไม่มีความน่าจดจำอะไรเลย
ตัวบทภาพยนตร์เองเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรมากมายนัก แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีหรือใกล้เคียงคำว่าดีเลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดตัวบทภาพยนตร์เองก็หลีกหนีพ้นจากความซ้ำซากจำเจและเดาง่ายในภาพยนตร์ประเภทนี้ไม่ได้เลย ด้วยบทที่เริ่มต้นแบบเดิม แล้วก็จบแบบเดิม ชนิดที่จะไม่มีฉากไหนที่จะทำให้คุณประหลาดใจได้อีกต่อไปแล้ว
ในด้านของตัวละครเองก็ไม่ได้ถูกเขียนมาได้ดีซักเท่าไรนัก มันเป็นตัวละครที่คุณมักจะเห็นในภาพยนตร์แนวนี้อยู่ตลอดเวลา เช่นป้าขี้วีน ขี้โวยวาย ชายแก่ซึ่งไม่ยอมใคร หรือหนุ่มผู้ช่างฝันต้องการจะพิสูจน์ตนเอง ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะได้นักแสดงชื่อดังและมากฝีมืออย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำก็ตามแต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายซักเท่าไรนักจากเหตุผลของบทภาพยนตร์และการกำกับ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองก็นำแสดงได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ตัวภาพยนตร์ก็ดันถ่ายทอดและเล่าตัวละครของเธอได้ลวกสุดๆซะอีก
แต่ก็ต้องขอบอกเลยว่าตัวผู้เขียนค่อนข้างจะสนใจในประเด็นของภาพยนตร์เรื่องนี้พอสมควร เช่น สภาวะชนชาติและชนชั้นในช่วงหลังยุคล่าอานานิคม เรื่องราวระหว่างชนชาติอินเดีย กับ ฝรั่งเศส หรืออาจจะพูดในอีกด้านหนึ่งได้ว่า การต่อสู้ของชนชาติที่ต่ำกว่ากับชนชาติสูงกว่า จุดที่แบ่งกั้นความสูงหรือต่ำมันอยู่ที่ใด ใครเป็นคนตัดสินชนชาติฝรั่งเศสซึ่งสร้างสรรค์เมนูอาหารที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้นเป็นชนชาติซึ่งเต็มไปด้วยอารยธรรมอันสูงส่งจริงหรือ
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามและประเด็นที่น่าสนใจเอามากๆ แต่น่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์กลับไม่สามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีซักเท่าไรนัก กลับกันเลยคือหลายๆคำถามก็ถูกตอบแบบครึ่งๆกลางๆ เพราะด้วยความย่ำแย่ของบทภาพยนตร์และการเล่าเรื่องที่แม้แต่การนำตัวภาพยนตร์ให้ผ่านแต่ละจุดไปได้ก็ดูจะย่ำแย่หนักหนาสาหัสแล้ว
ในท้ายที่สุดแล้ว The Hundred-Foot Journey ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆในแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ การกำกับ ตัวละคร หรือแม้แต่กระทั่งการถ่ายทอดประเด็นอันน่าสนใจ มันไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้ายซะทีเดียวแต่มันก็ดีกว่านี้ได้มาก ยังดีที่ตัวมันเองได้ผู้กำกับภาพอันมากฝีมือช่วยถ่ายทอดภาพอันงดงามเอาไว้ได้บ้าง มิเช่นนั้น นี้คงจะกลายเป็น 122 นาทีแห่งความน่าเบื่อชวนหลับเป็นแน่แท้
Final Score : [ C ]
อ่านบทวิจารณ์เก่าๆ ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆและติดตามแฟนเพจได้ที่นี้ครับ ส่วนแฟนเฟจบน Facebook มีอัพเดทตัวอย่างและข่าวสารภาพยนตร์รวมถึงวงการเกมเป็นประจำด้วยนะจ๊ะ
http://fallsdownz.blogspot.com/
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
แก้ไขล่าสุด 19 พ.ย. 57 22:15 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google