อยากรู้ไหม หมอ 6 ปี เขาเรียนอะไรกัน ?
15 เม.ย. 59 18:28 น. /
ดู 1,021 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
สวัสดีน้อง ๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้กันนะครับ พี่เป็นทีมติวเตอร์คณะแพทย์ของ Tiwtactic นะ หลายคนที่เข้ามาอ่านคงอยากเป็นหมอกันใช่ไหมละ วันนี้พี่มีเรื่องมาเล่าให้น้อง ๆ ฟังว่าการเรียนหมอ 6 ปี เนี่ย เราเรียนอะไรกันบ้าง จะได้เอาไว้เป็นข้อมูลในการเลือกเรียนหมอกันนะ
ปีที่ 1 : เป็นเด็กน้อยที่ใช้ชีวิตห่างไกลจากคำว่าหมอเลยละ
ปี 1 นี้เป็นปีเดียวที่น้องจะได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหาลัยคณะอื่น ๆ คือเรียนแบบตามตาราง 8.00-16.00 บางวันก็เรียนไม่เต็มวัน ทำให้น้องเอาเวลาว่างไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ หรือทำกิจกรรมส่วนตัวที่ตัวเองชอบได้ วิชาที่เรียนกันในปี 1 นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับหมอเลย (ยกเว้นหมอบางสถาบันอาจจะมีบางวิชาที่เกี่ยวกับหมอบ้าง) เพราะจะเน้นไปที่วิชาพวก คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เป็นหลัก คล้าย ๆ ของม.ปลายเลย แต่ว่าจะยากกว่าค่อนข้างเยอะ
ชีวิตปี 1 จะได้ทำกิจกรรมเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมรับน้องปี 1 ขึ้นสแตนเชียร์ เล่นกีฬา ไปค่ายนู้นค่ายนี่ จัดกิจกรรมให้น้อง ม.6 มีพี่สายรหัสพาไปเลี้ยงบ่อย ๆ โดยรวมแล้วปีนี้เป็นปีที่สบาย และไม่ค่อยกดดันเรื่องเรียนมากเท่าไหร่เลยละ
ปีที่ 2 : ก้าวขึ้นมาเป็นน้องเล็กที่สุดในวงการแพทย์
พี่ใช้คำว่าน้องเล็กที่สุดในวงการแพทย์เพราะว่าปีนี้เป็นปีแรกทีเราจะได้เรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหมอ อย่างจริงจัง เพราะเราจะได้เรียนทั้ง Gross anatomy, Histology, Physiology, Biochemistry (ขอทับศัพท์ภาษาอังกฤษนะ แปลไทยละรู้สึกแปลก ๆ) ก็จะได้รู้เกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายและการทำงานของระบบร่างกายของคนที่ปกติอย่างละเอียด ละเอียดชนิดที่เรียกว่าแม้แต่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในหูก็ต้องรู้จัก !!!
เนื้อหาในปีนี้เยอะกว่าปีก่อนมาก ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ต้องมีการปรับสมองให้สามารถรับความรู้ได้ทีละเยอะ ๆ และเร็ว ๆ อีกทั้งต้องไม่ลืม ไม่งั้นก็สอบตก แล้วชีวิตก็จะเริ่มวนเวียนอยู่กับหนังสือๆๆๆๆๆ ตั้งแต่ปีนี้นี่แหละครับ
ปีที่ 3 : เริ่มได้รู้จักโรคต่าง ๆ แล้วละ
ในปีที่ 2 เราจะเน้นไปที่ร่างกายคนที่ปกติ คือไม่ป่วย แต่ในปีที่ 3 นี้จะได้เรียนเกี่ยวกับร่างกายของคนที่ป่วย ว่าถ้าเป็นโรคนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะอย่างไร ถ้าเป็นโรคนี้ระบบร่างกายตรงไหนที่เปลี่ยนไป ดังนั้นเราจะเริ่มรู้จักโรคต่าง ๆ และรู้จักเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคด้วย อีกทั้งยังจะได้เรียนเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรค แม้ว่าเราจะเรียนไม่ละเอียดเท่าเภสัช แต่เราก็จะได้เรียนลึกขนาดต้องรู้กลไกการออกฤทธิ์ โครงสร้างของยาบางตัวที่สำคัญ (ก็ลึกอยู่นะ)
จุดพีคของการเรียนปีนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาวิชา เพราะเนื้อหาก็เยอะอย่างนี้ตั้งแต่ปี 2 แล้ว ก็คงปรับตัวได้กันแล้ว แต่มันอยู่ที่ตอนปิดเทอม ปี 3 ก่อนขึ้น ปี 4 ต้องสอบใบประกอบโรคของแพทย์ขั้นที่ 1 (เรียกสั้น ๆ ว่า NL 1 ซึ่งจะมีสอบทั้งหมด 3 ขั้น) และเนื้อหาที่ออกสอบคือเนื้อหาที่เรียนทั้งหมดในปี 2 และปี 3 ซึ่งเยอะมากกกกก แต่ก็ต้องพยายามจำให้ได้หมด เพื่อจะได้สอบให้ผ่าน
ปีที่ 4 : ใกล้คำว่าหมอขึ้นมาอีกขั้น เพราะได้รับคนไข้แล้ว
ปีนี้เป็นอีกปีที่จะต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะการเรียนจะไม่ได้เป็นเลกเชอร์ในห้องรวมแล้ว แต่จะเป็นการเรียนรู้บนหอผู้ป่วย (วอร์ด) โดยเรียนรู้จักผู้ป่วยโดยตรงเลย เราจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อไปวนวอร์ดผู้ป่วยต่าง ๆ ตลอดปี แต่ละวอร์ดก็จะมีเนื้อความรู้ที่ต่างกัน เช่น วอร์ดสูติ-นรีเวช ก็จะเน้นไปที่โรคของผู้หญิง เช่น ประจำเดือนไม่มา ประจำเดือนมามาก ประจำเดือนมาบ้างไม่มาบ้าง หรือจะเป็นวอร์ดเด็กที่จะเน้นโรคของเด็ก ทั้งเด็กอ้วนไป เด็กผอมไป เด็กไม่พูด เด็กซนเกินไป เป็นต้น ในตอนที่วนไปแต่ละวอร์ดก็จะได้รับคนไข้ คือต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรค และให้แนวทางการรักษาเบื้องต้นได้ โดยอาจารย์บนวอร์ดจะเป็นคนคอยควบคุมดูแล ให้ความรู้ ชี้จุดบกพร่อง กับเราอีกทีนึง
อีกทั้งปีนี้ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะคำว่า เวร อีกด้วย เราจะได้รับมอบหมายให้มีการอยู่เวรนอกเวลาราชการ มีหมดเลยตั้งแต่ 16.00-6.00 (ของอีกวัน) หรือจะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ หรือจะวันหยุดยาวเช่น สงกรานต์ ปีใหม่ ก็อาจจะมีเวรได้ถ้าตารางเวรลงตัวตรงนั้น ดังนั้นเวลาว่าง เวลาส่วนตัวของเราก็จะลดลงกว่าเดิม (และมันจะมีอย่างนี้ไปตลอดชีวิตของหมอแหละนะ บอกไว้ก่อน)
ปีที่ 5 : เรียนเหมือนปี 4 แต่ต้องเก่งขึ้น
รูปแบบการเรียนของปี 5 จะเหมือนของปี 4 คือต้องแบ่งกลุ่มย่อย ๆ และวนไปตามวอร์ดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยที่วอร์ดที่ไปวนนั้นอาจจะมีวอร์ดเล็ก ๆ ที่ไม่เคยได้ไปวนมาก่อนตอนปี 4 เช่น จิตเวช นิตเวช เป็นต้น (การวนวอร์ดนี่แล้วแต่สถาบันจะจัดนะ แต่ละสถาบันอาจจะวนไม่เหมือนกัน) สิ่งที่ต้องทำบบนวอร์ดก็จะคล้ายปี 4 คือต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรค ให้การรักษาได้ เพียงแต่จะต้องทำได้ดีกว่าปี 4 ต้องมีความรู้มากกว่าปี 4 เพราะอาจารย์จะคาดหวังมากกว่าปี 4 นั่นเอง
จุดพีคของปี 5 อีกอย่างนึงคือ ในช่วงปิดเทอมปี 5 ก่อนขึ้นปี 6 นั้นจะต้องสอบใบประกอบโรคของแพทย์ขั้นที่ 2 ซึ่งเนื้อหานั้นคือเนื้อหาของปี 4 และ ปี 5 ทั้งหมด (มหาศาลยิ่งกว่าขั้นที่ 1 อีกนะ) แต่ก็เช่นเคยต้องทำให้ได้ !
ปีที่ 6 : ทำงานเป็นหมอเต็มตัว แค่ไม่มีเงินเดือนให้
ปีนี้เป็นปีสุดท้ายในการเรียนหมอแล้ว เราจะได้ ทำงาน เหมือนหมอตามรพ.แทบจะทุกอย่างเลย ทั้งทำคลอดเอง เย็บแผลเอง ผ่าตัดเล็กเอง ให้การรักษาคนไข้ได้ โดยจะมีอาจารย์คอยดูแล อย่างห่าง ๆ กว่าปีก่อนมากขึ้น ปีนี้ถือว่าหนักที่สุดในการเรียนหมอ 6 ปีเลยละ หนักขนาดที่ว่า บางคนถือว่าปี 1-5 เป็นครึ่งทางแรกของการเรียนหมอ และปี 6 นี่เป็นครึ่งทางหลังของการเรียนหมอเลยทีเดียว เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคนไข้บนวอร์ด ปี 6 ต้องรู้ ต้องทำได้ ต้องมาจัดการ ไม่ว่าจะเป็นคนไข้ชัก คนไข้หัวใจหยุดเต้น คนไข้หอบเหนื่อยมาก คนไข้หายใจเองไม่ไหว มีอะไรก็ตามเกิดขึ้นกับคนไข้ ปี 6 จะถูกตามมาดูคนไข้ก่อนเสมอ
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่น้องที่เข้ามาเรียนหมอ จะต้องเจอตลอด 6 ปีไม่ว่าจะเรียนสถาบันไหนก็จะมีรูปแบบประมาณที่พี่เล่ามา อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียดนิดหน่อย ลองเอาไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกเรียนละกันนะ ส่วนใครยังไม่แน่ใจยังไงอยากปรึกษาพี่ ๆ ที่เรียนหมอก็ inbox มาที่แฟนเพจ Tiwtactic ได้ตลอดเลย พี่ ๆ ยินดีตอบทุกข้อสงสัยเลย !
Cr. https://blog.eduzones.com/tiwtactic
ปี 1 นี้เป็นปีเดียวที่น้องจะได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหาลัยคณะอื่น ๆ คือเรียนแบบตามตาราง 8.00-16.00 บางวันก็เรียนไม่เต็มวัน ทำให้น้องเอาเวลาว่างไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ หรือทำกิจกรรมส่วนตัวที่ตัวเองชอบได้ วิชาที่เรียนกันในปี 1 นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับหมอเลย (ยกเว้นหมอบางสถาบันอาจจะมีบางวิชาที่เกี่ยวกับหมอบ้าง) เพราะจะเน้นไปที่วิชาพวก คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เป็นหลัก คล้าย ๆ ของม.ปลายเลย แต่ว่าจะยากกว่าค่อนข้างเยอะ
ชีวิตปี 1 จะได้ทำกิจกรรมเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมรับน้องปี 1 ขึ้นสแตนเชียร์ เล่นกีฬา ไปค่ายนู้นค่ายนี่ จัดกิจกรรมให้น้อง ม.6 มีพี่สายรหัสพาไปเลี้ยงบ่อย ๆ โดยรวมแล้วปีนี้เป็นปีที่สบาย และไม่ค่อยกดดันเรื่องเรียนมากเท่าไหร่เลยละ
ปีที่ 2 : ก้าวขึ้นมาเป็นน้องเล็กที่สุดในวงการแพทย์
พี่ใช้คำว่าน้องเล็กที่สุดในวงการแพทย์เพราะว่าปีนี้เป็นปีแรกทีเราจะได้เรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหมอ อย่างจริงจัง เพราะเราจะได้เรียนทั้ง Gross anatomy, Histology, Physiology, Biochemistry (ขอทับศัพท์ภาษาอังกฤษนะ แปลไทยละรู้สึกแปลก ๆ) ก็จะได้รู้เกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายและการทำงานของระบบร่างกายของคนที่ปกติอย่างละเอียด ละเอียดชนิดที่เรียกว่าแม้แต่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในหูก็ต้องรู้จัก !!!
เนื้อหาในปีนี้เยอะกว่าปีก่อนมาก ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ต้องมีการปรับสมองให้สามารถรับความรู้ได้ทีละเยอะ ๆ และเร็ว ๆ อีกทั้งต้องไม่ลืม ไม่งั้นก็สอบตก แล้วชีวิตก็จะเริ่มวนเวียนอยู่กับหนังสือๆๆๆๆๆ ตั้งแต่ปีนี้นี่แหละครับ
ปีที่ 3 : เริ่มได้รู้จักโรคต่าง ๆ แล้วละ
ในปีที่ 2 เราจะเน้นไปที่ร่างกายคนที่ปกติ คือไม่ป่วย แต่ในปีที่ 3 นี้จะได้เรียนเกี่ยวกับร่างกายของคนที่ป่วย ว่าถ้าเป็นโรคนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะอย่างไร ถ้าเป็นโรคนี้ระบบร่างกายตรงไหนที่เปลี่ยนไป ดังนั้นเราจะเริ่มรู้จักโรคต่าง ๆ และรู้จักเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคด้วย อีกทั้งยังจะได้เรียนเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรค แม้ว่าเราจะเรียนไม่ละเอียดเท่าเภสัช แต่เราก็จะได้เรียนลึกขนาดต้องรู้กลไกการออกฤทธิ์ โครงสร้างของยาบางตัวที่สำคัญ (ก็ลึกอยู่นะ)
จุดพีคของการเรียนปีนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาวิชา เพราะเนื้อหาก็เยอะอย่างนี้ตั้งแต่ปี 2 แล้ว ก็คงปรับตัวได้กันแล้ว แต่มันอยู่ที่ตอนปิดเทอม ปี 3 ก่อนขึ้น ปี 4 ต้องสอบใบประกอบโรคของแพทย์ขั้นที่ 1 (เรียกสั้น ๆ ว่า NL 1 ซึ่งจะมีสอบทั้งหมด 3 ขั้น) และเนื้อหาที่ออกสอบคือเนื้อหาที่เรียนทั้งหมดในปี 2 และปี 3 ซึ่งเยอะมากกกกก แต่ก็ต้องพยายามจำให้ได้หมด เพื่อจะได้สอบให้ผ่าน
ปีที่ 4 : ใกล้คำว่าหมอขึ้นมาอีกขั้น เพราะได้รับคนไข้แล้ว
ปีนี้เป็นอีกปีที่จะต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะการเรียนจะไม่ได้เป็นเลกเชอร์ในห้องรวมแล้ว แต่จะเป็นการเรียนรู้บนหอผู้ป่วย (วอร์ด) โดยเรียนรู้จักผู้ป่วยโดยตรงเลย เราจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อไปวนวอร์ดผู้ป่วยต่าง ๆ ตลอดปี แต่ละวอร์ดก็จะมีเนื้อความรู้ที่ต่างกัน เช่น วอร์ดสูติ-นรีเวช ก็จะเน้นไปที่โรคของผู้หญิง เช่น ประจำเดือนไม่มา ประจำเดือนมามาก ประจำเดือนมาบ้างไม่มาบ้าง หรือจะเป็นวอร์ดเด็กที่จะเน้นโรคของเด็ก ทั้งเด็กอ้วนไป เด็กผอมไป เด็กไม่พูด เด็กซนเกินไป เป็นต้น ในตอนที่วนไปแต่ละวอร์ดก็จะได้รับคนไข้ คือต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรค และให้แนวทางการรักษาเบื้องต้นได้ โดยอาจารย์บนวอร์ดจะเป็นคนคอยควบคุมดูแล ให้ความรู้ ชี้จุดบกพร่อง กับเราอีกทีนึง
อีกทั้งปีนี้ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะคำว่า เวร อีกด้วย เราจะได้รับมอบหมายให้มีการอยู่เวรนอกเวลาราชการ มีหมดเลยตั้งแต่ 16.00-6.00 (ของอีกวัน) หรือจะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ หรือจะวันหยุดยาวเช่น สงกรานต์ ปีใหม่ ก็อาจจะมีเวรได้ถ้าตารางเวรลงตัวตรงนั้น ดังนั้นเวลาว่าง เวลาส่วนตัวของเราก็จะลดลงกว่าเดิม (และมันจะมีอย่างนี้ไปตลอดชีวิตของหมอแหละนะ บอกไว้ก่อน)
ปีที่ 5 : เรียนเหมือนปี 4 แต่ต้องเก่งขึ้น
รูปแบบการเรียนของปี 5 จะเหมือนของปี 4 คือต้องแบ่งกลุ่มย่อย ๆ และวนไปตามวอร์ดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยที่วอร์ดที่ไปวนนั้นอาจจะมีวอร์ดเล็ก ๆ ที่ไม่เคยได้ไปวนมาก่อนตอนปี 4 เช่น จิตเวช นิตเวช เป็นต้น (การวนวอร์ดนี่แล้วแต่สถาบันจะจัดนะ แต่ละสถาบันอาจจะวนไม่เหมือนกัน) สิ่งที่ต้องทำบบนวอร์ดก็จะคล้ายปี 4 คือต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรค ให้การรักษาได้ เพียงแต่จะต้องทำได้ดีกว่าปี 4 ต้องมีความรู้มากกว่าปี 4 เพราะอาจารย์จะคาดหวังมากกว่าปี 4 นั่นเอง
จุดพีคของปี 5 อีกอย่างนึงคือ ในช่วงปิดเทอมปี 5 ก่อนขึ้นปี 6 นั้นจะต้องสอบใบประกอบโรคของแพทย์ขั้นที่ 2 ซึ่งเนื้อหานั้นคือเนื้อหาของปี 4 และ ปี 5 ทั้งหมด (มหาศาลยิ่งกว่าขั้นที่ 1 อีกนะ) แต่ก็เช่นเคยต้องทำให้ได้ !
ปีที่ 6 : ทำงานเป็นหมอเต็มตัว แค่ไม่มีเงินเดือนให้
ปีนี้เป็นปีสุดท้ายในการเรียนหมอแล้ว เราจะได้ ทำงาน เหมือนหมอตามรพ.แทบจะทุกอย่างเลย ทั้งทำคลอดเอง เย็บแผลเอง ผ่าตัดเล็กเอง ให้การรักษาคนไข้ได้ โดยจะมีอาจารย์คอยดูแล อย่างห่าง ๆ กว่าปีก่อนมากขึ้น ปีนี้ถือว่าหนักที่สุดในการเรียนหมอ 6 ปีเลยละ หนักขนาดที่ว่า บางคนถือว่าปี 1-5 เป็นครึ่งทางแรกของการเรียนหมอ และปี 6 นี่เป็นครึ่งทางหลังของการเรียนหมอเลยทีเดียว เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคนไข้บนวอร์ด ปี 6 ต้องรู้ ต้องทำได้ ต้องมาจัดการ ไม่ว่าจะเป็นคนไข้ชัก คนไข้หัวใจหยุดเต้น คนไข้หอบเหนื่อยมาก คนไข้หายใจเองไม่ไหว มีอะไรก็ตามเกิดขึ้นกับคนไข้ ปี 6 จะถูกตามมาดูคนไข้ก่อนเสมอ
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่น้องที่เข้ามาเรียนหมอ จะต้องเจอตลอด 6 ปีไม่ว่าจะเรียนสถาบันไหนก็จะมีรูปแบบประมาณที่พี่เล่ามา อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียดนิดหน่อย ลองเอาไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกเรียนละกันนะ ส่วนใครยังไม่แน่ใจยังไงอยากปรึกษาพี่ ๆ ที่เรียนหมอก็ inbox มาที่แฟนเพจ Tiwtactic ได้ตลอดเลย พี่ ๆ ยินดีตอบทุกข้อสงสัยเลย !
Cr. https://blog.eduzones.com/tiwtactic
แก้ไขล่าสุด 15 เม.ย. 59 21:29 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 8.1
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google