'เยาวราชโมเดล ทุนจีนรุกคืบ กทม.
12 มิ.ย. 66 11:15 น. /
ดู 2,005 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#ทุนจีนสีเทา #เยาวราชโมเดล
'เยาวราชโมเดล'
ทุนจีนรุกคืบ กทม.!!!
ทุนจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยผ่านธุรกิจต่างๆ อาจไม่ใช่โอกาสของแรงงานไทยที่เคยฝันว่าอยู่กลางทุ่งลาเวนเดอร์เสียแล้ว ลำพังธุรกิจสีเทาก็เขย่าระบบเศรษฐกิจในเมืองไทยจนสะเทือนไปหลายวงการ
ส่วนธุรกิจสีขาว ที่เข้ามาเปิดร้านอาหาร เปิดบริษัท ค้าขายอย่างถูกกฎหมาย ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่ามีความน่ากลัวไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะกรณีที่ร้านหม้อไฟชื่อดังในเยาวราช เล่าถึงการเข้ามาเปิดร้านอาหารของคนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตุว่ากฎหมายไทยเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนหรือตั้งบริษัทง่ายเกินไป
ก่อนอื่นต้องเข้าใจนโยบายรัฐบาลจีนว่าที่ผ่านมาสนับสนุนให้นักธุรกิจออกไปลงทุนยังต่างประเทศ เนื่องจากมีเศรษฐีใหม่เพิ่มมากขึ้น
รายงานการจัดอันดับความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีจีน "หูรุ่น ไชนา ริช ลิสต์" เผยว่าปี 2565 มีเศรษฐีระดับมูลค่า 5 พันล้านหยวน หรือ ประมาณ 691 ล้านดอลลาร์ (25,465 ล้านบาท) จำนวน 1,305 คน ซึ่งลดลงร้อยละ 11 เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อปี2564 และลดลงมากที่สุดในรอบ 24 ปี
อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐบาลจีนที่สนับสนุนให้เศรษฐีไปทำธุรกิจในต่างแดนเพื่อหอบเงินกลับเข้าประเทศนั้น กลับสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของจีนคือ เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนเพิ่มขึ้น
ทำให้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ออกมากล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะพยายามบรรลุสิ่งที่เรียกว่า "ความมั่งคั่งร่วมกัน" (common prosperity) โดยธุรกิจและผู้ประกอบการจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพราะคือปัญหาที่จะฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในอนาคต และยังเป็นตัวทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการนำของพรรค
นั่นทำให้นโยบายของจีนเปลี่ยนไป บังคับให้ธุรกิจขนาดใหญ่หันกลับมาลงทุนในประเทศมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งธุรกิจมีกำไรมากเท่าไรก็จะต้องเสียภาษีให้รัฐมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
นโยบายความมั่งคั่งร่วมกัน จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของมหาเศรษฐีชาวจีน โดยเฉพาะ "แจ๊ค หม่า" แห่งอาลีบาบา จนถึงขั้นว่าต้องอพยพไปอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ส่วนเศรษฐีใหม่ชาวจีนจำนวนไม่น้อยก็ยังคงมีการลงทุนในต่างประเทศ และไทยเองก็เป็นเป้าหมายที่ดึงดูดเพราะปัจจัยหลายอย่างเกื้อหนุน
จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็กลายมาเป็นเหตุผลหนึ่งของกรณี "นอมินีเยาวราช"
ปฎิเสธไม่ได้ว่าจีนที่ทุนหนากว่า จึงสามารถเปิดบริษัทหรือเป็นเจ้าของร้านอาหารในเยาวราช
ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ "ลูกคนจีน" เผยว่า ตอนนี้ในเยาวราชมีคน 4 กลุ่มใหญ่ๆ
1. คนท้องถิ่นเดิม ซึ่งเหลือน้อยมากๆ เป็นลูกหลานจีนโพ้นทะเลเสื่อผืนหมอนใบ
2. คนจีนแต้จิ๋วรุ่นใหม่พกพาสปอร์ตจีน นิยมขายของในตลาดเก่า
3. คนงานประเทศเพื่อนบ้าน เป็นลูกจ้างอยู่ร้านของคนจีนแต้จิ๋วรุ่นใหม่
4. คนไทยรุ่นใหม่ที่เข้าไปทำร้านและคาเฟ่
ไม่เฉพาะแค่ย่านเยาวราชเท่านั้น หากไปดูที่รัชดาฯ ก็จะพบว่าเจ้าของร้านหรือเจ้าของอาคารล้วนแล้วแต่เป็นคนจีนส่วนใหญ่ โซนตึกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งมีแต่ยามเฝ้า เจ้าของก็คนจีนทั้งสิ้น
หรือห้วยขวาง ร้านของฝาก ทุเรียนทอด ครีมทาตัว เจ้าของก็เป็นคนจีน ยังไม่นับสำเพ็ง โบ๊เบ๊ และประตูน้ำ ที่ชาวจีนเข้าไปเปิดกิจการมาหลายปีแล้ว
แม้ว่าบทลงโทษ คนไทยที่ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวหรือร่วมเอาชื่อเข้าเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้ลงทุนจริง หรือให้การสนับสนุนร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว โดยแสดงว่าเป็นธุรกิจของคนไทย เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืนแต่เอาเข้าจริง ปากท้องต้องกินต้องใช้คนไทยจะปฏิเสธการเป็นนอมินีได้นานสักแค่ไหน
นี่คือความน่ากลัวของทุนจีนจากธุรกิจสีขาวที่กำลังรุกคืบใน กทม. อย่างรวดเร็ว
ที่มา https://www.bizpromptinfo.com/%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81/
#เยาวราชโมเดล
#ทุนจีนสีเทา
ทุนจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยผ่านธุรกิจต่างๆ อาจไม่ใช่โอกาสของแรงงานไทยที่เคยฝันว่าอยู่กลางทุ่งลาเวนเดอร์เสียแล้ว ลำพังธุรกิจสีเทาก็เขย่าระบบเศรษฐกิจในเมืองไทยจนสะเทือนไปหลายวงการ
ส่วนธุรกิจสีขาว ที่เข้ามาเปิดร้านอาหาร เปิดบริษัท ค้าขายอย่างถูกกฎหมาย ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่ามีความน่ากลัวไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะกรณีที่ร้านหม้อไฟชื่อดังในเยาวราช เล่าถึงการเข้ามาเปิดร้านอาหารของคนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตุว่ากฎหมายไทยเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนหรือตั้งบริษัทง่ายเกินไป
ก่อนอื่นต้องเข้าใจนโยบายรัฐบาลจีนว่าที่ผ่านมาสนับสนุนให้นักธุรกิจออกไปลงทุนยังต่างประเทศ เนื่องจากมีเศรษฐีใหม่เพิ่มมากขึ้น
รายงานการจัดอันดับความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีจีน "หูรุ่น ไชนา ริช ลิสต์" เผยว่าปี 2565 มีเศรษฐีระดับมูลค่า 5 พันล้านหยวน หรือ ประมาณ 691 ล้านดอลลาร์ (25,465 ล้านบาท) จำนวน 1,305 คน ซึ่งลดลงร้อยละ 11 เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อปี2564 และลดลงมากที่สุดในรอบ 24 ปี
อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐบาลจีนที่สนับสนุนให้เศรษฐีไปทำธุรกิจในต่างแดนเพื่อหอบเงินกลับเข้าประเทศนั้น กลับสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของจีนคือ เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนเพิ่มขึ้น
ทำให้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ออกมากล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะพยายามบรรลุสิ่งที่เรียกว่า "ความมั่งคั่งร่วมกัน" (common prosperity) โดยธุรกิจและผู้ประกอบการจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพราะคือปัญหาที่จะฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในอนาคต และยังเป็นตัวทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการนำของพรรค
นั่นทำให้นโยบายของจีนเปลี่ยนไป บังคับให้ธุรกิจขนาดใหญ่หันกลับมาลงทุนในประเทศมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งธุรกิจมีกำไรมากเท่าไรก็จะต้องเสียภาษีให้รัฐมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
นโยบายความมั่งคั่งร่วมกัน จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของมหาเศรษฐีชาวจีน โดยเฉพาะ "แจ๊ค หม่า" แห่งอาลีบาบา จนถึงขั้นว่าต้องอพยพไปอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ส่วนเศรษฐีใหม่ชาวจีนจำนวนไม่น้อยก็ยังคงมีการลงทุนในต่างประเทศ และไทยเองก็เป็นเป้าหมายที่ดึงดูดเพราะปัจจัยหลายอย่างเกื้อหนุน
จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็กลายมาเป็นเหตุผลหนึ่งของกรณี "นอมินีเยาวราช"
ปฎิเสธไม่ได้ว่าจีนที่ทุนหนากว่า จึงสามารถเปิดบริษัทหรือเป็นเจ้าของร้านอาหารในเยาวราช
ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ "ลูกคนจีน" เผยว่า ตอนนี้ในเยาวราชมีคน 4 กลุ่มใหญ่ๆ
1. คนท้องถิ่นเดิม ซึ่งเหลือน้อยมากๆ เป็นลูกหลานจีนโพ้นทะเลเสื่อผืนหมอนใบ
2. คนจีนแต้จิ๋วรุ่นใหม่พกพาสปอร์ตจีน นิยมขายของในตลาดเก่า
3. คนงานประเทศเพื่อนบ้าน เป็นลูกจ้างอยู่ร้านของคนจีนแต้จิ๋วรุ่นใหม่
4. คนไทยรุ่นใหม่ที่เข้าไปทำร้านและคาเฟ่
ไม่เฉพาะแค่ย่านเยาวราชเท่านั้น หากไปดูที่รัชดาฯ ก็จะพบว่าเจ้าของร้านหรือเจ้าของอาคารล้วนแล้วแต่เป็นคนจีนส่วนใหญ่ โซนตึกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งมีแต่ยามเฝ้า เจ้าของก็คนจีนทั้งสิ้น
หรือห้วยขวาง ร้านของฝาก ทุเรียนทอด ครีมทาตัว เจ้าของก็เป็นคนจีน ยังไม่นับสำเพ็ง โบ๊เบ๊ และประตูน้ำ ที่ชาวจีนเข้าไปเปิดกิจการมาหลายปีแล้ว
แม้ว่าบทลงโทษ คนไทยที่ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวหรือร่วมเอาชื่อเข้าเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้ลงทุนจริง หรือให้การสนับสนุนร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว โดยแสดงว่าเป็นธุรกิจของคนไทย เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืนแต่เอาเข้าจริง ปากท้องต้องกินต้องใช้คนไทยจะปฏิเสธการเป็นนอมินีได้นานสักแค่ไหน
นี่คือความน่ากลัวของทุนจีนจากธุรกิจสีขาวที่กำลังรุกคืบใน กทม. อย่างรวดเร็ว
ที่มา https://www.bizpromptinfo.com/%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81/
#เยาวราชโมเดล
#ทุนจีนสีเทา
แก้ไขล่าสุด 12 มิ.ย. 66 13:07 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google