เดือนการฟังแห่งชาติปีนี้ เค้าจัดงาน ”ฟังด้วยหู ดูด้วยใจ Dialogue“
ตอนแรกที่ได้รับการติดต่อมา ผมก็งงว่า “ต้องไปทำอะไรบ้างนะครับ”
เสียงจากปลายสายตอบกลับมาว่า “มานั่งฟังครับ แค่ฟังเฉยๆ เลย”
ตัดภาพมาที่วันงาน
ผู้เข้าร่วมงานจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ คนเล่า กับ คนฟัง
แล้วเราก็จะถูกจับคู่ให้ไปนั่งฟังคนเล่าเป็นเวลา 25-30 นาที
หน้าที่ของผมคือทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี คอยรับฟัง ไม่พูดขัด ไม่พูดแทรก ไม่ต้องให้คำปรึกษา หรือให้ความเห็นใดๆ
ดูเหมือนจะง่ายนะครับ แต่เชื่อมั้ยว่า พอเราต้องตั้งใจฟังจริงๆ มันยากมากที่เราต้องโฟกัส ต้องมีสมาธิ และ concentrate กับเรื่องที่เค้าเล่า
สิ่งนึงที่สำคัญมากๆ ของการเป็นผู้ฟังคือ เราต้องไม่ตัดสินใครก่อน เพราะมันอาจทำให้เราไม่ฟังเค้าจริงๆ
ผมอาจจะขอไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรี่องที่ผมได้ฟังมานะครับ
แต่อยากบอกทุกคนว่า การฟังมันมีพลังมากจริงๆ
และในหลายๆ ครั้ง หลายปัญหาถูกแก้ไขได้ด้วยการฟัง แถมมนุษย์เรายังเข้าใจกันมากขึ้นถ้าเราฟังกันจริงๆ
เราเคยได้ยินคนบอกว่าให้คุยกันเยอะๆ สื่อสารกันเยอะๆ เปิดอกคุยกันจะได้เข้าใจกันมากขึ้น
แต่ผมคิดว่า การคุยกันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
หากแต่เราต้องเปิดหูและเปิดใจรับฟังเสียงของอีกฝั่งด้วยต่างหาก
…
ในฐานะนักแสดง มีหนึ่งคำสอนที่ผมเคยได้ยินมาหลายครั้งแล้ว ทั้งจากอาจารย์ ครูสอนการแสดงหรือผู้กำกับ คือ อย่าคิดแต่จะพูดบทของเราอย่างเดียว แต่ให้ฟังคนที่เข้าฉากกับเราด้วยว่าเค้าพูดอะไร และจงรีแอคไปตามสิ่งที่เค้าพูดออกมา
ถ้าเราตั้งใจฟังให้ดี เราจะพบว่า ในทุกประโยคของการสนทนา มันไม่ได้มีเพียงแค่เสียงที่หลุดออกมาเป็นคำพูดเท่านั้น แต่มันยังมีน้ำเสียง สำเนียง อารมณ์ มีกิริยาท่าทางที่เราก็ฟังมันได้
และสุดท้ายคือ มันมีคำ(ไม่)พูดที่ซ่อนอยู่ระหว่างประโยคอีกด้วย คำเหล่านี้ไม่มีเสียง แต่ฟังมันได้ ถ้าเราตั้งใจฟังให้มากพอ
ขอบคุณธนาคารจิตอาสาและ H.O.W. นะครับที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้นมา
ใครที่ได้อ่านโพสต์นี้ อย่าลืมหาเวลา ‘ฟัง‘ คนที่อยู่ข้างๆ บ้างนะครับ
#เดือนการฟังแห่งชาติ
#ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง