
ข้าพเจ้าเคยสนับสนุนให้คนๆหนึ่งคิดมุมที่เขาอาจมองข้ามไป
ก่อนอื่นเลยข้าพเจ้าต้องบอกก่อนว่า ข้าพเจ้าประเมินคนผู้นี้แล้วว่าเป็นคนที่ต้องการความรู้และเปิดใจรับฟังสิ่งเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าจึงบอกเขาไปในเรื่องง่ายๆเพื่อสะกิดมุมคิดของเขา
เขาถามข้าพเจ้าว่า ถ้าเขาพอใจแล้วในสิ่งที่ตนเองทำอยู่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้หรือการงาน เขาควรจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกหรือ?
ข้าพเจ้า ถามเขากลับไปว่า ถ้าตอนนี้เขาหยุดงาน เขามีเงินสำรองอยู่ได้กี่เดือนโดยไม่ต้องทำงาน?
เขาตอบว่า ไม่เกินสองเดือน
ข้าพเจ้าถามเขาอีกว่า ได้ส่งเงินให้พ่อแม่บ้างรึเปล่า แล้วฐานะของพ่อแม่เป็นอย่างไร ?
เขาตอบว่า ส่งเงินให้พ่อแม่น้อยมาก คือ 10%ของรายได้ ส่วนฐานะของพ่อแม่ไม่ได้มีเงินเก็บอะไรมาก และเงินเก็บส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับการหาหมอ
และข้าพเจ้าก็ถามว่า
ถ้าวันนี้การงานจำเป็นต้องหยุดเหมือนช่วงโควิดและพ่อแม่ต้องเข้าโรงพยาบาลพร้อมกัน จะเอาเงินที่ไหนมาจัดการสิ่งเหล่านี้
เขาตอบว่า ผมก็ไม่รู้ครับพี่ ผมคงต้องหากู้ยืมคนอื่นเพื่อให้มันผ่านไปได้….
ข้าพเจ้าจึงถามคำถามสุดท้ายคือ
ที่น้องบอกพี่ตอนต้นว่าน้องพอใจกับวันนี้แล้ว….หลังจากที่พี่ถามคำถามเหล่านี้ไป น้องยังตอบว่าพอใจอยู่อีกหรือเปล่า ??
…………….…………………………………………………….
เมื่อครั้งที่ยังขาดการพิจารณาชีวิต
ข้าพเจ้ามักมองข้ามเรื่องการเตรียมพร้อม
และแยกไม่ออกระหว่างความพอใจกับความขี้เกียจขวนขวาย
คนจำนวนมากมีความขี้เกียจขวนขวายอะไรเพิ่มเติมเป็นนิสัยหลักและกลบนิสัยนี้ไว้ด้วยการบอกว่า พอใจแล้วในสิ่งที่มี ทั้งๆที่ลึกเข้าไปยังเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่พร้อมเต็มไปหมด
แท้จริงจุดที่เราพอใจ ควรเป็นจุดที่เราได้เตรียมความพร้อมไว้แล้วในหลายๆส่วนของชีวิต เพราะอนาคตไม่มีอะไรแน่นอน ทุกคนจะตระหนักเรื่องนี้ได้อย่างดีเมื่อคิดถึงสถานการณ์โควิด
ความพอใจที่แท้จริงไม่ใช่อาการที่แสร้งทำ
แต่มันเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการไม่หวาดกลัวอนาคตเพราะเตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว …
..แยกให้ออกระหว่างความพอใจที่แท้จริงกับความขี้เกียจขวนขวายและแสร้งเป็นว่าพอใจ
#คอมเม้นอย่างผู้เจริญ