
“เราร้องไห้ให้กับภาพวาดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”
📍Munch Museum ใน Oslo น่าจะเป็นที่ที่แสดงผลงานของ Edward Munch มากที่สุดที่หนึ่งในโลก แน่นอนว่าคนมาเพื่อดูภาพ The Scream ที่โคตรจะโด่งดัง จ๋าก็มาด้วยเหตุผลนั้นแหละ แต่กลับเจอกับเซอร์ไพร์สที่ไม่ได้ตั้งตัวเลย
ตอนเลี้ยวโค้งไปเจอกับภาพวาดภาพหนึ่งในมุม มันเกิดความรู้สึกที่แปลกมาก ภาพวาดสีน้ำมัน ”Sick Child“ แขวนอยู่ตรงนั้น ภาพของเด็กผู้หญิงที่ป่วยใกล้ตายนอนอยู่บนเตียง แต่คนที่ดูหมดหวังยิ่งกว่าคือผู้หญิงที่นั่งคอตกอยู่ข้างๆ สิ่งที่ทรงพลังของภาพวาดนี้สำหรับจ๋าไม่ใช่เทคนิคอะไร แต่เป็นความเข้าใจของศิลปิน ความเข้าใจว่าความสูญเสียหน้าตาเป็นยังไงและถ่ายทอดมันออกมาได้ผ่านรูปภาพที่ผ่านมานานแค่ไหนก็ยังส่งพลังงานนั้นออกมา
งานของ Munch เป็นแบบนั้น ภาพวาดจากประสบการณ์ชีวิตที่เจอมาเอง เกือบตายด้วยตัวเอง ผ่านมันมาได้ด้วยตัวเอง และถ่ายทอดออกมาด้วยเลือดเนื้อทั้งหมดของตัวเอง
อีกภาพที่ชอบไม่ใช่งานโด่งดังอะไร แต่คงโดนใจจ๋าส่วนตัว เป็นภาพวาดที่ชื่อว่า ”Wedding of the Bohemian“ ตั้งอยู่ใน exhibition ที่ชื่อว่า Alone ภาพที่เล่าถึงความเหงาผ่านภาพงานแต่งงาน
The Scream ที่โด่งดังจัดแสดงที่นี่สามเวอร์ชั่นด้วยกัน The Painting, the Drawing และ the Print
เป็นภาพวาดที่ล้ำมาก เพราะเป็นภาพวาดที่เล่าถึงอาการซึมเศร้าและแพนิกในวันที่มันไม่แพร่หลายเท่าวันนี้ด้วยซ้ำ Munch อธิบายว่าภาพนี้เกิดจากวันธรรมดาๆที่เดินอยู่บนสะพาน และอยู่ดีๆก็เหมือนได้ยินเสียงโหยหวนของสิ่งแวดล้อมรอบตัวดังขึ้นมา เขาพยายามวาดภาพ ”เสียง“ ที่ได้ยินในวันนั้น และมันกลายเป็นภาพที่คนยอมเดินทางข้ามโลกมาเพื่อได้เห็นกับตาสักครั้ง
ความเจ็บป่วย ความตาย ความรัก ความเหงาเป็นสิ่งที่ทุกคนเคยเจอแต่อธิบายไม่ถูก ไม่เคยเห็นเป็นภาพ และอธิบายให้ใครฟังไม่ง่าย ความอัจฉริยะของ Edward Munch คือการวาดความรู้สึกทั้งหมดนี้ออกมาเป็นภาพ เป็นสิ่งที่เห็นได้ แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่ประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนด้วย ว่าภาพไหนจะซัดเราเข้าในจังหวะไหน อยู่ดีๆก็เหมือนเราได้แชร์ประสบการณ์กับใครบางคนที่บอกเราว่า “เราเข้าใจ เรารู้ว่ามันรู้สึกยังไง“
และด้วยเหตุผลนั้น ศิลปะถึงโคตรยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และทำให้เราโงหัวไม่ขึ้นซักที
#ทริปหอยทาก
#YossieWanderlust