อ่านคั่นเวลา คดีดังสยอง ขวัญของไทย คดีศยามล

16 ต.ค. 52 21:12 น. / ดู 11,429 ครั้ง / 50 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
ศยามลเป็นเหตุการณ์จริงที่กลายเป็นข่าวอื้อฉาวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และเป็นคดีสะเทือนขวัญที่มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก เมื่อมีการพบศพหญิงสาวถูกฆาตกรรมในรถยนต์ โดยมีเด็กหญิงวัยไร้เดียงสา กำลังกอดศพแม่ของเธออยู่ ตำรวจสืบจนพบว่าตัวผู้ต้องสงสัยคือนายแพทย์ ผู้เป็นสามีเธอ (นอกกฎหมาย) และเป็นพ่อแท้ๆของเด็กหญิงคนนั้น จากพยานหลักฐานแน่นหนา ทำให้ตำรวจสามารถเอาผิดกับนายแพทย์ผู้นี้ได้ แต่เจ้าตัวยังคงปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการฆาตกรรมครั้งนี้
29 กันยายน 2536 สภอ.อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ที่นั้นได้เกิดคดีที่สะเทือนขวัญลือเรื่องทั่วฟ้าแดนไทยขึ้น และนี้เป็นคดีที่อยู่ในยังอยู่ความทรงจำของคนเราชาวไทยไม่มีวันลืม

เมื่อเช้าตรู่มีผู้พบศพผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง นอนตายอยู่ภายในรถเก๋งนิสสัน สีขาว ทะเบียน ก-2344 ประจวบคีรีขันธ์ สภาพศพถูกรัดคอและแทงซ้ำ แม้สภาพศพจะน่าอนาถเท่าใดแต่ก็ไม่เท่าภาพที่เห็นเบื้องหน้า นั้นคือมีหนูน้อยคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นลูกของผู้ตาย อายุราวสองปีนั่งร่ำไห้บนตักแม่ที่เป็นศพ แกคอยเอาทิชชูซับเลือดจากบาดแผลถูกแทงบนอก คาดว่าแกร้องไห้และทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาราว 6 ชั่วโมง ทำให้เป็นภาพสลดต่อผู้พบเห็นอย่างยิ่ง แม้กระทั้งตำรวจและผู้สื่อขาวต่างก็สังเวรสงสารภาพที่อยู่เบื้องตรงหน้าอย่างจับใจไม่มีวันลืม

"ผมได้รับแจ้งจากทางวิทยุตำรวจว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น ผมรีบเดินทางไปที่เกิดเหตุเพื่อทำข่าว เมื่อไปถึงผมเห็นภาพอันน่าสลดใจ คือมีศพหญิงสาวนั่งอยู่ตรงข้ามกับคนขับ บนตักมีเด็กที่น่าจะเป็นลูกนั่งไม่ยอมห่างไปไหน แม้กระทั้งเจ้าหน้าที่จะพยายามจะอุ้มแยกออกมา เด็กก็ยังมีท่าทีขัดขืนไม่ยอมออกจากอกผู้หญิงคนนั้น"

ตำรวจทราบชื่อผู้ตายในเวลาต่อมาว่า ผู้หญิงผู้ตายชื่อ นางศยามล ลาภก่อเกียรติ ส่วนเด็กที่อยู่บนตักแม่เป็นลูกสาวชื่อน้องอิงอิง โดยได้รับการยืนยันจากนางสาวปาริชาติ ลาภก่อเกียรติ พี่สาวของศยามล และนางปาริชาติคนนี้แหละที่นำไปสู่การจับกุมตัวฆาตกร เพราะเธอรู้ทันทีเลยว่าใครเป็นคนฆ่าศยามล

และฆาตกรคนนั้นคือ นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ เนื่องจากศยามลรักนายแพทย์ บัณฑิต แต่ไม่แต่งงาน และไม่จดทะเบียนตามกฎหมาย จนกระทั่งท้องออกมา นายแพทย์จึงบอกให้ทำแท้ง แต่ศยามลไม่ยอม จึงคลอดลูกออกมาชื่อน้องอิงอิง และเมื่อคลอดแล้วก็เที่ยวโฆษณาคนอื่นที่หัวหินว่าเป็นลูกของเธอกับนายแพทย์บัณฑิต ทำให้นายแพทย์บัณฑิตเสียหน้ามากเพราะเขากำลังมีแฟนใหม่และกำลังจะแต่งงานกัน เขาจำเป็นต้องสะสางเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้จงได้

หลังศยามลถูกฆ่าอำพรางวันที่ 28 กันยายน 2536 ทำให้ข่าวนี้สะเทือนขวัญมากจนทำให้ พ.ต.อ.พิสิทธิ์ คำแน่น ผกก.ภ.จว.เพชรบุรี (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ลงมาคุมคดีนี้ด้วยตนเอง และได้ตั้งชุดสืบสวนหาหลักฐานมัดตัวคนร้ายในคดี

        20 ตุลาคม 2536 ตำรวจไทยโชว์ผลงาน (ไม่จับแพะ) ใช้เวลาแค่ 3 สัปดาห์จับกุมหมอบัณฑิตถึงโรงพยาบาลหัวหินและตามจับกุมทีมสังหารได้ยกแก๊ง

        5 มกราคม 2537 อัยการจังหวัดเพชรบุรียื่นฟ้องหมอบัณฑิตและพวก

        22 ธันวาคม 2537 ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีพิพากษาประหารชีวิตหมอบัณฑิต และตัดสินจำคุกตลอดชีวิตทีมฆ่าอีกสามคน หลังจากนั้นหมอบัณฑิตได้ยื่นอุทธรณ์แต่ไม่เป็นผล ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

        23 ธันวาคม 2539 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัจจุบันหมอบัณฑิตได้รับการอภัยโทษจากการประหารชีวิต และได้รับการลดโทษลง 1 ใน 4 ด้วย โดยโทษประหารชีวิตจะลดลงเหลือจำคุก 40 ปีตามลำดับ 

        ชีวิตหลังจากนั้นของน้องอิงอิง

หลายคนคงรู้ดีนะคะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นศยามลผู้เป็นแม่นั้นย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กน้อยอิงอิงเป็นอย่างมาก หลายฝ่ายพยายามมีส่วนร่วมฟื้นฟูจิตใจให้บุตรสาวของศยามล จนปัจจุบันชีวิตความเป็นอยู่ของน้องอิงอิงอยู่ในระดับปกติ

ส่วนความเป็นอยู่ของหมอบัณฑิตในคุกนั้น นายพิทยา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง กล่าวว่า หมอบัณทิตในคุกเป็นผู้ต้องขังชั้นดี นิสัยดี เรียบร้อย ช่วยงานทุกอย่าง เป็นหมอประจำแดนก็ว่าได้ เขาพูดจายิ้มแย้ม แจ่มใสดี ไม่มีอาการเครียด"

และเรื่องราวความโหด**มนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์โดยชายอภิชาติ หาลำเจียก อดีตสมาชิกผู้แทนราษฎร จนได้รับประณามต่างๆ นา แต่หนังทำเงินเป็นล้าน

สิ่งที่เกิดขึ้นกับหมอบัณฑิตนั้นเป็นตัวบ่งชี้ว่าการฆ่าไม่ใช้ทางออกของการแก้ปัญหา เราควรตระหนักก่อนจะทำอะไรลงไป

ข้อมูลจาก

หนังสือนักโทษประหาร



PS.จะเอาเรื่องอื่นมาให้อ่านอีกถ้า อยากอ่านก็บอกกันนะ


.... กระทู้นี้ย้ายมาจากห้องบันเทิงเกาหลี ...
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | IXCVI | 16 ต.ค. 52 21:15 น.



จะนอนหลับไหม?

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | Reen | 16 ต.ค. 52 21:16 น.

อยากอ่านอีก

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | },builtd'|๒๑|sJ. | 16 ต.ค. 52 21:17 น.

น่าสงสาร T^T.

ไอพี: ไม่แสดง

น่ากลัว

สงสารคนที่ชื่ออิงอิงด้วย

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | tangkwa | 16 ต.ค. 52 21:19 น.

เหมือนคห.1

แต่น่าสงสารอ่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | #bulletbwoy | 16 ต.ค. 52 21:19 น.

เกิดอาการอยาก ขออีกกก

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | ;$hapley#$one' (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:22 น.

ยังไม่เกิดเลยค่ะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | {Hc}'ลูกเจ้าพ่อ__;'D (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:22 น.

แปะ เดี๋ยวกลับมาอ่านค่ะ


:'D

ไอพี: ไม่แสดง

#9 | nninii | 16 ต.ค. 52 21:22 น.

' นั่นสิ

อยากอ่านอีก 

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | ploii | 16 ต.ค. 52 21:22 น.

คดี ที่2 เชอรี่ แอน ดันแคน

รู้ไหมคะว่าคดีที่โด่งดังในไทยชนิดเป็นตำนานชนิดถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ไทย มีอยู่ 3 คดีด้วยกัน นวลฉวี , ยอดหญิงสยามล , และเชอรี่แอน ทำไมหรือ? นั้นก็เป็นเพราะมันอยู่ในความทรงจำผู้คนมาเนิ่นนาน บางเรื่องยาวนานหลายทศวรรษ

เชอรี่แอนก็เช่นกัน เป็นภาพสะท้านที่ชัดเจนที่สุด ถึงการฆาตกรรมที่สุดโด่งดัง แม้วิธีการไม่โหด**มอะไรมากมาย ไม่ซับซ้อนสักนิด แต่สิ่งที่ต้องให้คดีนี้เป็นที่กล่าวถึงนั้นคือกระบวนการยุติธรรมของไทยที่บิดเบือนมากกว่า ซึ่งส่งผลร้ายแก่เเพะรับบาปหลายๆ คนและผู้เกี่ยวข้องได้ ตราบจนถึงทุกวันนี้

เชอรี่แอน เด็กสาวลูกครึ่งอายุแค่ 16 ปีคนหนึ่ง ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า สะพานแห่งความตาย คือความสวยสะพรั่ง และความสดสวยของเธอเอง นั้นคือบทบันทึกโศกนาฎกรรมแห่งชีวิต ความรัก และความตายของเธอเชอรี่แอน  ดันแคน

25 กรกฎาคม พ.ศ. 2529

ในป่าแสมบางสำราญ บริเวณหลัก กิโลเมตรที่ 42 ของถนนสุขุมวิท(สายเก่า) ตำบลปางปูใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ

วันนี้ นางสงัดกับนางสายหยุด ศรีเมือง สองสามีภรรยา ชาวบ้านท่อาศัยในบริเวณนั้นตื่นเช้ามาเพื่อช่วยกันหาและจับปูในป่าแสนซึ่งเป็นป่าชายเลนเพื่อนำไปขายเป็นรายได้เลี้ยงชีพเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

        แต่วันนี้เปลี่ยนไป!

เพราะวันนี้นอกจากทั้งคู่จะเจอปูแล้ว ยังเจอศพผู้หญิงอีกด้วย เธอนอนเสียชีวิตอยู่ในร่องน้ำบริเวณในป่าชายเลน แน่นอน.......ทั้งคู่ตกใจรีบไปแจ้งตำรวจสภอ.สมุทรปราการ

        หลังตำรวจได้รับแจ้ง ไม่กี่นาทีต่อมาก็ยกกำลังพลเกือบหมดโรงพักมายังที่เกิดเหตุ

        จากการสันนิษฐานชั้นแรกว่า เธออาจเป็นสาวโรงงานในละแวกนั้น อาจถูกลวงมาฆ่า ข่มขื่น เหมือนคดีฆาตกรรมที่เล็กทั่วๆ ไป

        แต่นี้ไม่ใช่  ข่าวเล็ก ข่าวนี้ ต่อมาได้กลับกลายเป็นข่าวสุดดังไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา

        เพราะจากการสืบ พบว่า ศพนั้นคือ นางสาว เชอรี่แอน ดันแคน นักเรียนสาวลูกครึ่งวัย 16 ปีของโรงเรียนพระกุมารเยชูวิทยา ซอยสุขุมวิท 101 เธอถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น อาจจะถูกบีบคอเสียชีวิต เพราะสภาพศพไม่พบบาดแผลใดๆ

        แน่นอนการสอบสวน บุคคลที่เกี่ยวข้องกลุ่มแรกกับความตายของเธอกลุ่มแรก ประกอบไปด้วย มิสเตอร์โจและนางกลอยใจ ดันแคน พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเธอ

        คนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ตำรวจเรียกมาสอบสวนคือ นายวินัย ชัยพานิช หรือเรียกเล่นๆ ว่าแจ๊ค เสี่ยใหญ่วัย 43 ปี (ในขณะนั้น) เจ้าของธุรกิจก่อสร้างมากมายหลายแห่ง ซึ่งฐานานุรูปของเขาคือเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูสาวน้อยเชอรี่แอน (เลี้ยงต้อย?)

        ประเด็นสำคัญ จากบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมุทรปราการ ปรากฏว่า นายวินัย ได้แจ้งถึง การหายตัวของ เชอรี่แอนไว้ เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม หลังการพบศพหนึ่งวัน

        ในขั้นแรกของคดี ตำรวจยังมืดมน เนื่องจากไม่มีหลักฐานประกอใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งพยานบุคคลในที่เกิดเหตุและหลักฐานแวดล้อมรอบข้าง รวมทั้งวิทยาการสอบสวนในสมัยนั้นอาจยังไม่รุดหน้าเท่าทุกวันนี้

        จากการสืบสวนเพื่อนสนิทของเชอรี่แอน พบว่า ตอนเย็นวันที่ 22 กรกฏาคม หลังเลิกเรียนแล้ว ทุกคนเห็นเชอรี่แอน เดินขึ้นแท็กซี่ ที่มาจอดรอรับเธออยู่หน้าโรงเรียนตามลำพัง

        สื่อมวลชนในสมัยนั้น โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ เริ่มติดตามข่าวคดีนั้นอย่างต่อเนื่อง กัดแบบไม่ปล่อย เพราะทุกอย่างไม่คืบหน้า

        เมื่อตำรวจหาหลักฐาน พยานไม่ได้ สื่อก็เร่ง คดีได้รับความสนใจของประชาชน  ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด พวกเขาจึงต้องวางแผนอย่างหนึ่งขึ้น.........

        หาแพะรับบาป

        เรียกพวกเขาว่าแพะ

       
        21 สิงหาคม พ.ศ.2529

        กลุ่มฆาตกร และผู้บงการในการฆาตกรรม นางสาวเชอรี่แอน ดันแคน ถูกจับยกแก๊งค์ ราวกับอภิหารหารย์ ซ้อนปาฏิหารย์

        พ.ต.ท.เลิศล้ำ ธรรมนิสา รองผู้กำกับ สภอ.สมุทรปราการ (ยศและตำแหน่งในเวลานั้น) แถลงการณ์ข่าวการจับกุมต่อสื่อมวลชน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ต้องหา 5 ชีวิตคือ

        จำเลยที่ 1 นายวินัย ชัยพานิช

        จำเลยที่ 2 นายรุ่งเฉลิม กนลชวาลชัย

        จำเลยที่ 3 นายพิทักษ์ ค้าขาย

        จำเลยที่ 4 นายกระแสร์ พลอยกลุ่ม

        จำเลยที่ 5 นายธวัช กิจประยูร

        ทั้ง 5 คน 5 ชีวิต ถูกตราหนาจากสังคมว่าเป็นกลุ่มฆาตกร ที่มีส่วนร่วมสังหาร นางสาวเชอรี่ แอน อย่างเลือดเย็น สื่อมวลชน ประชาชน ตราหน้า รุมสาปแช่งพวกเขา ลงทัณฑ์ว่า พวกเขาต้องถูกประหารชีวิต

        ง่ายยิ่งกว่าง่ายยิ่งกว่าต้มมาม่า 3 นาทีหรือยิ่งกว่าการ์ตูนอีก เพราะระยะเวลาแค่ 27 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถับกุมกลุ่มฆาตกร ได้ยกแก๊งครบทุกโบกี้ครบที่นั่งแบบนี้

        เมื่อข่าวนี้เป็นที่รับรู้ของประชาชนทั่วประเทศ ทุกคนเริ่มสนใจกลุ่มฆาตกรในคดีนี้มากขึ้น เสียงวิพากษ์เป็นในทางเดียวกัน คือขอให้ศาลตัดสินประหารชีวิตฆาตกรกลุ่มนี้

        เบื้องหลังการจับกุมแพะกลุ่มนี้ เกิดขึ้นหลังการตายของเชอรี่แอนประมาณ 2 สัปดาห์

        ต่อมาหลังจากการต่อสู้ในศาลฏีกา......ได้มีการเปลี่ยนคำพิพากษาออกมายกฟ้องพวกเขาทั้งหมด แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะความทุกข์ทรมานที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี ได้ส่งผลให้.........

        นายพิทักษ์ ติดโรคร้ายมาจากคุก และมาเสียชีวิตลงเมื่อปลายปี 2536 เมื่อพ้นคดีออกจากคุกมาเพียง 5 เดือน

        นายธวัชเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตามหลังนายพิทักษ์ไม่นานมานัก

        ส่วนนายกระแสร์ พลอยกลุ่ม คือแพะในคดีเชอรี่แอน เพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอด
        โดนซ้อมจนสมองชา , เข้าคุกทั้งที่ไม่ผิด , แพะแดนประหาร

จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังของ เสี่ยวินัยพบว่า มีเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดา และจบการศึกษาในระดับที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสวนทางกับพฤติกรรมที่แสดงออกเช่นนี้

เสี่ยวินัย เกิดในครอบครัวที่จัดได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกิน บิดาและมารดานับได้ว่าเป็นผู้มีฐานะและการเงินที่ดีครอบครัวหนึ่ง ในด้านการศึกษา เสี่ยวินัยสำเร็จการศึกษาวิชาออกแบบและสถาปัตย์ จากสหรัฐอเมริกา จากนั้นกลับมาทำงานในประเทศไทย ปี 2519 โดยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการก่อสร้าง และได้มาพักอาศัยอยู่กับมารดาที่บ้านพักเยื้องตรงข้าม สน.ทุ่งมหาเมฆ ซอยสวนพลู เขตยานนาวา

ในปี 2528 เสี่ยวินัยได้ไปรู้จักกับ 'น.ส.เชอรี่แอน ดันแคน' อายุ 16 ปี ที่ร้านอาหาร 'พี.เจ.' สุขุมวิท 19 ซึ่งเป็นของบิดาและมารดาของเชอรี่แอน และเกิดหลงใหลได้ปลื้มในเรือนร่างของลูกครึ่งอเมริกันผู้นี้ ในที่สุดความฝันของเสี่ยวินัยก็บรรลุผล เมื่อแม่ของเชอรี่แอนยินยอมให้เสี่ยวินัยพาไปเลี้ยงดูอุปการะและอยู่กิน โดยมีเรือนหออยู่ที่ห้องพักในริเวอร์วิว คอนโดมิเนียม ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้แม่ของเชอรี่แอนตัดสินใจเช่นนั้นเป็นผลมาจากความร้าวฉานที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวเพราะผู้เป็นพ่อชาวอเมริกันมีพฤติกรรมที่ไม่พึงปฏิบัติในทำนองชู้สาวต่อลูกสาวในไส้หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเมา

        พฤติกรรมเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า

สำหรับต้นตอปัญหาความขัดแย้งใน 'รักสามเส้า' ระหว่างเสี่ยวินัย-น.ส.สุวิบูลย์-น.ส.เชอรี่แอน ซึ่งกลายเป็นศึกชิงรักหักสวาทที่บานปลายใหญ่โตนำไปสู่คดีฆาตกรรม อันลึกลับซับซ้อนและโหดร้ายป่าเถื่อนในวันที่ 22 ก.ค. 2529 อีกทั้งยังสืบทอดความทุกข์ร้อนแสนเข็ญมาสู่บรรดากลุ่ม 'แพะรับบาป' ของคดีและทายาทจวบจนปัจจุบันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นนั้น ถ้าจะกล่าวว่าเป็นผลมาจาก 'ความเจ้าชู้' ไม่รู้จักพอของเสี่ยวินัยก็คงจะไม่เกินเลยไปนัก

เพราะขณะที่สังคมรับรู้ว่า เสี่ยวินัยอยู่กินกับ น.ส.สุวิบูลย์ ยังแอบเล็ดลอดไปหาความสุขกับหญิงอื่นอยู่ตลอดเวลา และมีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมากหน้าหลายตา กระทั่งสร้างความไม่พอใจให้กับ น.ส.กุ้ง ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูทางการเงินของเสี่ยวินัย
       
        ความจริง

        เจ้าหน้าที่กองปราบพบว่า นอกจากนายวินัยจะมีความสัมพันธ์สวาทกับนางสาวเชอรี่แอนแล้ว เขายังมีผู้หญิงคนอื่นอีก หนึ่งในนั้นคือ นางสาวสุวิบูง พัฒน์พงษ์ พานิช หรือกุ้ง หุ้มส่วนธุรกิจของนายวินัย นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงอีก 2-3        คน ในบริษัทก่อสร้าง ตำรวจสืบแกะรอย คู่ขาวินัยทุกคน

        หลังวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 ข่าวการฆาตกรรมเชอรี่แอน โด่งดังอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่กองปราบจับกุมผู้ต้องหาคดีนี้เป็นคำราบสอง ประกอบไปด้วย

        นายสมใจและนายสมพงษ์ บุญญฤทธิ์ สองศรีพี่น้อง ที่เชื่อกันว่าเป็นคนสังหารเชอรี่แอนตัวจริง

        19 กุมภาพันธุ์ 2538 จับนายสมัคร ธูปบูชาการ และนายว่องไว ผู้ร่วมทีมสังหาร

        1 พฤศจิกายน 2538 นางสาวสุวิบูล เดินเข้ามามอบตัวในฐานะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จ้างวาน แต่ใช้หลักทรัพย์ 5,000,000 บาท ประกันตัวออกไปได้

        18 มกราคม 2539 ตัวรวจจับกุม นายประมวล พลัดโพชน์ คนขับรถสามล้อในข้อหาแจ้งความเท็จจนในที่สุดศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 ปี

ด้วยความแค้นที่ต่อนายวินัย ทั้งสองจึงรับปากกับนางสาวสุวิมลอย่างง่ายได้

        และด้วยความรู้จักสนิทสนมกับเชอรี่แอนจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหลอกเธอไปฆ่า

        นายสมัคร ธูปบูชาการ ก็มีความสนิทสนมกับกลุ่มฆาตกรกลุ่มนี้ด้วย

        นายพีระ ว่องไววุฒิ เป็นเพื่อนสนิทกับนายสมพงษ์ และนายสมใจ และเป็นโซเฟอร์แท็กซี่มรณะ หมายเลขทะเบียน 1ท-3992 กรุงเทพมหานคร ที่ไปรับส่งเชอรี่แอนที่หน้าประตูโรงเรียน จนพบจุดจบ แต่เจ้าหน้าที่กันตัวเขาไว้เพื่อเป็นพยานในคดีนี้
     

       
ข้อมูลจาก

หนังสือตามรอยคดีฆ่า

ไอพี: ไม่แสดง

#11 | [RED^^HD] | 16 ต.ค. 52 21:23 น.

น่ากลัวอะ โหดร้าย
หลอนเลยอะ

ไอพี: ไม่แสดง

#12 | เดินทางด้วยรองเท้า | 16 ต.ค. 52 21:26 น.

อ่า  สงสารเด็กจนนั้นจัง..




อยากอ่านอีกอ่ จขกท. *-*

ไอพี: ไม่แสดง

#13 | Freakamods | 16 ต.ค. 52 21:28 น.

อิงอิง ตอนนี้ก็อายุ 16 แล้ว
เรื่อง ผ่านมา 14 ปี ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง

ไอพี: ไม่แสดง

#14 | ~ปิรันย่าน่ากอด>//< (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:30 น.

อยากเห็นอิงอิงอ่ะ

T.T

ไอพี: ไม่แสดง

#15 | $oNeYo0nA (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:33 น.

อนาถใจ
เพชรบุรี<<<<บ้านเรานี่หว่า?
เเต่เราไม่รู้เรื่องเลยตอนนั้นยังไม่เกิด

ไอพี: ไม่แสดง

#16 | RV_GT;'__,,{Ma*ToRy} (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:34 น.

น่าสงสารอิงอิง

ไอพี: ไม่แสดง

#17 | .''KiseKi''. | 16 ต.ค. 52 21:38 น.

แปะๆๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#18 | YUYa13Monkeys (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:39 น.

อยากอ่านอีกอ่า มีคดีของหมอที่หั่นศพภรรยาไหม

จำชื่อหมอไม่ได้อ่า เนื้อหาก็มีในหนังเรื่อง บ้านผีสิงด้วยนะ

แก้ไขล่าสุด 16 ต.ค. 52 21:41 | ไอพี: ไม่แสดง

#19 | {ESL}+!_JunsU=)'* (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:44 น.

โอ้วว น่าสนใจ .

ไอพี: ไม่แสดง

#20 | ploii | 16 ต.ค. 52 21:45 น.

บุญเพ็ง หีบเหล็ก

ย้อนรอยชีวิตฆาตกร หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ช่วงนั้นได้มีการประหารนักโทษสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "บุญเพ็ง" ซึ่งก่อคดีฆ่าคน ตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง" ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็ก แล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้ง จนชาวบ้านขนานนามว่า ซึ่งนับว่า "บุญเพ็ง" เป็นนักโทษประหารคนสุดท้าย ของกรุงรัตนโกสินทร์ บุญเพ็งเดิมเป็นชายหนุ่มรูปงามนักเป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขาน เขาเกิดปี พ.ศ.อะไรไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าเป็นคนมณฑลอุดร พ่อเป็นคนจีน แม่เป็นคนลาว เป็นลูกคนเดียว พอจำได้ เขากำพร้าพ่อแม่แล้ว(บางแหล่งข้อมูลบอกว่าพ่อแม่ยังอยู่) จึงอยู่อาศัยกับตายาย ชื่อตาสุก และยายเพียรเครือญาติที่บางขุนพรหม กรุงเทพฯ ยึดอาชีพทำไร่ฝ้ายขาย ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทนุถนอมมา แต่ หนุ่มบุญเพ็ง ไม่เอาไหน งานการไม่อยากทำ โดยปล่อยให้ตายาย ไปทำนาตามประสา ส่วนตัวเองกลับสนใจวิชาทางด้านไสยศาตร์เวทมนต์และ ได้ไปขอเรียนวิชาอาคม กับ ตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ผู้มีวิชาดี ทาง กำจัดภูติผี ปีศาจ และทำเสน่ห์ยาแฝด และหมอดู บุญเพ็งเรียนจบครบหลักสูตรวิชาไสยศาตร์ประเภทมนต์ดำฝังรูปฝังรอย พร้อมวิชาหมอดู นอกจากเขาจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น เขายังมีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะ จนสาว ๆ ทั้งหลายทอดสายตาให้ วิชาที่บุญเพ็งเรียนมา เป็นวิชาที่ไม่ให้คุณใคร และตาสุก ยายเพียรตระหนักดี แกคอยห้ามปราม ต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุญเพ็งเท่าที่ควร ต่อมาเขาได้เติบโตเป็นหนุ่ม ถูกตายายดุด่า ห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ เขาจึงทนไม่ไหว และมุ่งหน้าเข้าสู่บางลำภู ที่บางกอก (กรุงเทพฯ) มาตั้งสำนักหมอผี อยู่ในสวน ใกล้คลองบางลำภู เปิดสำนักดูหมอสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต รับทำเมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด และไสยศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีคนมาหาแวะเวียนมา
บุญเพ็งมีคนรักชอบพอมากมายเนื่องจากเป็นคนรูปร่างดี พูดจาไพเราะอ่อนหวาน กับอีกด้าน ก็มีคนไม่ชอบอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ศัตรูก็ไม่น้อย ที่สำนักของเขามีหีบเหล็กโบราณ อยู่ถึง 7 ใบ ช่วงนั้นผู้หญิงได้ไปติดพัน ไปหาตอนกลางคืน และนั่งคุยจนดึกดื่น ก็ต่างตกเป็นทาสสวาทของเขาทั้งสิ้น นานวันเข้าผู้หญิงคนนั้นก็หายไปอย่างลึกลับ ไร้ร่องรอย พร้อมกับหีบเหล็กที่หายไปทีละ 1 ใบ พฤติกรรมของเขา ที่เล่นบทรักกับผู้หญิงอย่างซาดิสม์ ทารุณ จนขาดใจตาย แล้วเขาจะใช้มีดสับศพเป็นท่อน ๆ ยัดใส่หีบเหล็ก นำไปทิ้งลงคลองย่านบางลำภูเพื่อทำลายหลักฐานซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่สุด**มโหดในสมัยนั้น ก็มีผู้หญิงคนแล้วคนเล่าที่ต้อง มาสังเวยชีวิตให้กับบุญเพ็ง คนสุดท้ายเป็นคุณนาย ที่สามีทอดทิ้ง รูปร่างดี แต่งกายทองเต็มตัว บุญเพ็งก็เสพสมแล้ว กลายเป็นขาประจำ จนกระทั่งวันหนึ่ง หญิงคนนั้นก็เกิดตั้งท้อง ยื่นคำขาดให้บุญเพ็งรับผิดชอบเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งบุญเพ็งจะบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงต้อง ฆ่าหญิงคนนั้นเสีย แล้วนำศพหั่นเป็นท่อน ๆ ยัดลงหีบนำไปทิ้งลงคลองอีกเช่นเคย "และเป็นหีบใบสุดท้ายที่มี" ซึ่งหลังจากนั้นเริ่มระแคะระคาย บุญเพ็งจึงลี้ภัยที่รู้ว่าจะมาหาตัว หนีไปบวชเป็นพระที่วัดแถวอยุธยา หลังจากนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็น กรรมเวรอะไร ทำให้บุญเพ็งต้องสึกออกมาเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงที่หมายปอง และคืนนั้นเองที่ ยังไม่ทันจะได้ถึงสวรรค์ ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับไว้อย่างละม่อมในข้อหา ฆ่าคนตายอย่าง**มโหด เรื่องราวทั้งหมดสืบเนื่องมาจากได้มีชาวบ้านไปทอดแห แล้วเจอหีบทั้ง 7 ใบ ในนั้นมีซากศพเป็นท่อน ๆ อยู่ในหีบทุกใบ จึงต้องโทษ และถูกตัดสิน โดยการประหารชีวิต เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคน แม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทัน จะส่งตัวเข้าห้องหอ ก็ไม่มา แต่......... มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยครับ เนื่องจากระหว่างที่นายบาปเพ็ง เอ้ย.........บุญเพ็งจะถูกประหารเนี่ย ในช่วงประหารชีวิตนั้นเอง เพชรฆาต รำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคบกริบลงบนคอ แทนที่คอจะ ขาดเลือดพุ่งกระฉูด กลับกลายเป็นว่า คมดาบนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวเลย จนเพชรฆาตรพูดว่า "**มีอะไรดี ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นเพชรฆาต ก็เอาพระเขวี้ยงทิ้งไปในกอไผ่
คราวนี้รำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอ ทันใดนั้นดาบหลังฟันดัง ฉับ!!!! คราวนี้ คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวีดว้ายระงม เพราะ.........ว่าๆกันว่า ขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆ ชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็ง ขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง ซึ่งว่ากันว่า อาจจะเป็นไพ่ตาย คุณไสย์ครั้งสุดท้ายของเขาเผื่อจะป้องกันชีวิตของเขาได้ครับ แต่ผมว่าของดีของบุญเพ็งน่าจะเสื่อมไปนานแล้วละครับ เพราะผู้หญิงกับคุณไสย ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ของดีเช่นคาถา อาคมของเขาจึงเสื่อมด้วยประการฉะนี้ ศพของบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่า รอยสักช่วงแผ่นหลัง ของเขา เผาไฟไม่ไหม้ ญาติเก็บกระดูกใส่เจดีย์ไว้ข้างอุโบสถ์วัด จนช่วงหลังเจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษี จึงได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลอง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อ พ.ศ.2537 ตั้งไว้ในศาลเล็ก ๆ ติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่า เขาเป็นนักโทษประหารคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2474 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2475 ศาลลุงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาง และเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อยนับพันปี นับว่าเขาคือ นักโทษคนสุดท้ายที่ได้รับโทษประหารชีวิตด้วยการบั่นศีรษะ และบุญเพ็ง คือ ฆาตกรฆ่าหั่นศพคนแรกของเมืองสยาม สิ่งที่ทำให้บุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้กระทำความผิดนั้น มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ *กิเลส* ในจิตใจของเขานั่นเอง มนต์ดำ คือของนอกรีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสิ่งที่คอยผูกมัดมนุษย์ด้วยความกลัว ความโลภ ความหลง และสิ่งที่เขาได้รับเป็นผลตอบแทนจากกรรมของเขา จะเป็นบทเรียนที่สำคัญให้แก่นักเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำนอกรีต ดังนั้น ประวัติของบุญเพ็ง หีบเหล็ก จึงจบลงด้วยประการนี้ครับ


คห18 เดี๋ยว จขกท หาให้นะ

ไอพี: ไม่แสดง

#21 | ploii | 16 ต.ค. 52 21:49 น.

อันนี้เปล่า

เมื่อปลายเดือนมกราคม 2541 คงจะเป็นลำดับต้นๆ ที่ต้องจารึกไว้

ความโหด**มของเสริม สาครราษฎร์ ถูกเปิดเผยขึ้น หลังจาก "สมคิดและสุดา พลอยองุ่นศรี" เจ้าของร้านทองพรทวีชัย อ.สามพราน จ.นครปฐม พ่อและแม่ของเจนจิรา เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ว่า บุตรสาวหายตัวไปพร้อมกับรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีเขียว ทะเบียน 8 ษ-8580 กรุงเทพมหานคร

 





สมคิดบอกพนักงานสอบสวนว่า ตั้งแต่บุตรสาวเข้ามาศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ได้พักอยู่กับยายที่ย่านฝั่งธนบุรี เป็นเด็กเรียบร้อย กลับบ้านตรงเวลา หากมีธุระที่ไหนจะแจ้งให้คนในครอบครัวทราบก่อน แต่เมื่อวันที่ 26 มกราคม กลับหายตัวไปพร้อมกับรถยนต์ส่วนตัวที่ใช้อยู่เป็นประจำ โดยไม่มีใครสามารถติดต่อได้

 

ในคำให้การ สมคิดระบุอย่างชัดเจนว่า สงสัยจะเกิดเหตุร้ายกับบุตรสาว และคนที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ เสริม สาครราษฎร์ เนื่องจากอยู่กับลูกสาวเป็นคนสุดท้าย ประกอบกับไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกับใครมาก่อน แต่ระยะหลังมักมีปัญหากระทบกระทั่งกับแฟนหนุ่มอยู่บ่อยครั้งเพราะความหึงหวง

 

พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ประสานงานไปยัง พ.ต.อ.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผกก.สส.น.1 ยศและตำแหน่งขณะนั้น ช่วยติดตามหาตัวเจนจิราโดยเร่งด่วน สิ่งแรกที่ทำคือ เชิญตัวนายเสริมมาสอบปากคำ ชายหนุ่มยอมรับเพียงว่า ก่อนเจนจิราจะหายตัวไปได้พบกันจริงที่ห้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่เกิดมีปากเสียงกัน จึงแยกย้ายกันกลับหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ

 





วันนั้นตำรวจต้องปล่อยตัวนายเสริมไป เพราะขาดพยานหลักฐาน แต่ก็ได้เบาะแสชวนสงสัยประเด็นหนึ่ง คือ จากการตรวจค้นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 316 ทะเบียน ธ-1117 ชลบุรี ของนายเสริมมีร่องรอยเพิ่งผ่านการทำความสะอาดบริเวณช่องเก็บของท้ายรถมาหมาดๆ

 

แม้ตำรวจจะปล่อยตัวนายเสริมชั่วคราว แต่ก็จัดชุดสืบสวนตามประกบอยู่ไม่ห่าง โดยทราบว่านายเสริมเช่าห้องพักเลขที่ 604 พีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม ย่านฝั่งธนบุรี พักอาศัยอยู่ พ.ต.อ.สฤษฎ์ชัย จึงประสาน พ.ต.อ.โกสินทร์ หินเธาว์ ผกก.สส.น.7 ยศและตำแหน่งในขณะนั้น ร่วมกันคลี่คลายคดี

จากการตรวจสอบประวัตินายเสริมพบว่า เป็นเด็กเรียนเก่งมาก เข้าข่ายอัจฉริยะ เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีตั้งแต่อายุ 15 ปี และจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่อายุ 19 ปี จากนั้นเอนทรานซ์เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีอีกครั้งในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

นายเสริมคบหากับเจนจิราได้ระยะหนึ่ง และมักจะชวนกันไปพักผ่อน ชมภาพยนตร์ และรับประทานอาหารที่ห้างเวิลด์เทรดอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากเจนจิราหายตัวไป นายเสริมกลับเก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในห้องพัก และมักจะแวะเวียนไปหาบิดามารดาของเจนจิราอยู่เป็นประจำ เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าของคดี

 

ต่อมาชุดสืบสวนได้เบาะแสจากเพื่อนสนิทของนายเสริมว่า วันที่ 27 มกราคม นายเสริมแวะไปหาที่บ้านพักย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ และขอล้างรถยนต์นานนับชั่วโมง โดยเน้นทำความสะอาดที่ช่องเก็บของด้านหลังมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีเพื่อนบ้านของนายเสริมที่ จ.ชลบุรี ระบุว่า วันที่ 28 มกราคม นายเสริมกลับมาที่บ้านและนำสิ่งของบางอย่างมาเผาไฟ เมื่อสอบถามก็มีท่าทีตกใจ

เมื่อได้เบาะแสตำรวจจึงเชิญตัวนายเสริมมาสอบปากคำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกัน ครั้งนี้นำตัวเข้าเครื่องจับเท็จ เมื่อถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับแฟนสาว นายเสริมแสดงพิรุธให้เห็นอย่างชัดเจน ในที่สุดก็ยอมรับสารภาพว่าลงมือสังหารแฟนสาวเสียชีวิตไปแล้ว

 

นายเสริมอ้างว่า หลังจากพบกับแฟนสาวที่ห้างเวิลด์เทรดแล้ว มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกัน เนื่องจากเจนจิราบอกเลิก เหตุเกิดภายในรถยนต์ของผู้ตาย เกิดโมโหจึงบีบคอจนขาดใจตาย หลังจากนั้นจึงไปเปิดห้องพักในโรงแรมม่านรูด 99 ซอยรางน้ำ ลงมือชำแหละศพในอ่างอาบน้ำ แล้วทิ้งชิ้นส่วนศพลงในโถชักโครก

 

หลังจากนั้นได้ย้อนกลับไปที่ห้างเวิลด์เทรดอีกครั้ง นำรถยนต์ของตัวเองไปจอดที่โรงแรมเฟิร์สท์ ย่านราชเทวี แล้วกลับไปที่โรงแรม 99 ขับรถของผู้ตายนำกระดูกไปทิ้งที่สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง แล้วจึงนำรถไปจอดทิ้งไว้ที่หน้าบริษัททีแอนด์ที โอเพนนิ่ง จำกัด หมู่บ้านเมืองทองธานี ย่านแจ้งวัฒนะ กลับมาเอารถตัวเองที่โรงแรมเฟิร์สท์ นำทรัพย์สินของเจนจิราไปทิ้งถังขยะหน้าโรงพยาบาลยันฮี แล้วไปหาเพื่อนที่บ้านพักย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ล้างรถแล้วกลับบ้านที่ จ.ชลบุรี ในวันรุ่งขึ้น นำเสื้อผ้าและของใช้อีกส่วนหนึ่งของแฟนสาวไปเผาทิ้ง

 

ตำรวจเข้าค้นหาหลักฐานตามคำให้การของนายเสริม ซึ่งส่วนใหญ่พบหลักฐานตามที่ให้การ โดยเฉพาะรถยนต์มีคราบเลือด เส้นผม และกระดุมเสื้อของเจนจิราตกอยู่ ยกเว้นแต่ที่โรงแรมม่านรูด 99 ตำรวจไม่พบหลักฐานใดๆ แม้จะตรวจสอบบ่อเกรอะของโรงแรมก็ไม่พบชิ้นส่วนของเจนจิรา จึงเค้นเอาความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า จนยอมสารภาพอีกครั้งว่า จุดชำแหละศพอยู่ที่ห้องเลขที่ 604 พีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม โดยก่อนเกิดเหตุได้ชวนแฟนสาวไปติววิชาเรียนที่ห้องพัก ก่อนจะมีปากเสียงกันเรื่องผู้ชายคนใหม่ของเจนจิรา

 

ระหว่างทะเลาะกันเจนจิราเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อกลับออกมาก็ถูกนายเสริมใช้ปืนขนาด.38 ยิงเข้าที่ขมับซ้ายทะลุขวาเสียชีวิตทันที ด้วยความกลัวจึงลงมือชำแหละศพทิ้งลงชักโครกทำลายหลักฐาน

ตำรวจสรุปสำนวนส่งอัยการพิจารณาสั่งฟ้องนายเสริมในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ทำลายอำพรางซ่อนเร้นศพ พกพาอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต และลักทรัพย์ เขาตั้งทนายสู้คดีทั้ง 3 ศาล แต่สุดท้ายแล้วศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต !!!

 

มิเตอร์น้ำจับโกหก

 

พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผบก.วท.4 อดีต ผกก.สส.น.1 หนึ่งในทีมสืบสวนคดีฆาตกรรม "เจนจิรา พลอยองุ่นศรี" เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุมารดาของผู้ตายให้ข้อมูลว่า สงสัยคนร้ายน่าจะเป็นนายเสริม สาครราษฎร์ ซึ่งติดพันลูกสาวอยู่ ระยะหลังทั้งสองมีเรื่องทะเลาะกันบ่อย ประกอบกับลูกสาวไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ไม่น่าจะมีชนวนเหตุอื่นที่จะทำให้ถูกฆาตกรรมได้

 

"หลังสอบปากคำผมเชื่อว่าฆาตกรน่าจะเป็นนายเสริมแน่ แต่ยังขาดพยานหลักฐาน จึงประสานกับ พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ รองจเรตำรวจ (สบ 7) ขณะนั้น ยังเป็น ผกก.สส.น.7 เฝ้าติดตามพฤติกรรมนายเสริม กระทั่งได้หลักฐานมากพอสมควร จึงควบคุมตัวมาสอบสวน"

 

แม้ตำรวจจะมีหลักฐานมากพอ แต่นายเสริมยังให้การปฏิเสธ จนต้องนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จก็ยังปากแข็ง กระทั่งจำนนต่อพยานหลักฐาน ยอมรับสารภาพจนหมดเปลือกว่า ลงมือสังหารแฟนสาวเพราะโกรธแค้นที่ปันใจให้ชายอื่น

 

จุดชำแหละศพเป็นประเด็นหนึ่งที่นายเสริมพยายามปกปิด โดยครั้งแรกอ้างว่าใช้ห้องพัก 156 โรงแรมม่านรูด 99 ซอยรางน้ำ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ชุดสืบสวนประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) สูบบ่อเกรอะของโรงแรมหาชิ้นเนื้อผู้ตาย แต่ก็คว้าน้ำเหลว

 

"ผมเค้นสอบปากคำนายเสริมอยู่นาน เขาจึงยอมบอกว่า จุดชำแหละศพคือห้องพักเลขที่ 604 พีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม เขาอ้างว่าพอยิงแฟนสาวตายแล้วก็เฉือดเนื้อทิ้งชักโครก ผมตรวจสอบมิเตอร์น้ำห้องพัก กลับไม่พบการใช้น้ำมากผิดปกติ เพราะหากชำแหละศพคนทิ้งชักโครกจริงต้องใช้น้ำในปริมาณมากพอสมควร สุดท้ายเขาจึงยอมบอกว่าชำแหละชิ้นเนื้อทิ้งชักโครกเพียงไม่กี่ชิ้น ที่เหลือนำใส่ถุงดำไปทิ้งบ่อเกรอะแทน ส่วนกระดูกนำไปทิ้งที่สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง"

 

ตำรวจตรวจสอบบ่อเกรอะของพีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม พบชิ้นเนื้อของเจนจิราและพบกะโหลกศีรษะที่แม่น้ำบางปะกง ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำไม่มากนัก หลักฐานที่ได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ใช้มัดนายเสริมจนดิ้นไม่หลุด

ไอพี: ไม่แสดง

#22 | ~PMZ~MoNaLiZaz (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:55 น.

ขอแปะก่อนนะคะ

ไอพี: ไม่แสดง

#23 | YUYa13Monkeys (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 21:55 น.

ใช่ๆ จขกท ขอบคุณค่ะ

ขอๆอีกคดี อยากอ่านคดีนวลฉวี

ปล. ถามหน่อย จขกท ชอบเรื่องฆาตกรรมเเบบนี้หรอ หรืออ่านเฉยๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#24 | รำเพยทุกชาติไป | 16 ต.ค. 52 22:02 น.

คดีฆาตกรรมส่วนใหญ่จะเป็นหมอทั้งนั้นเลย

แต่สงสารน้องอิงอิงอะ เพราะตอนที่พบศพ น้องเค้านอนไห้บนศพแม่ แบบคนที่เห็นพากันสงสารเวทนามากเลย

แต่คดีเชอรี่แอนอะ คดีนี้มีแพะรับบาปเยอะที่สุด กว่าจะปิดคดีได้ ใช้เวลานานมาก

แล้วน่าสงสารด้วย เราเคยดูรายการนึง ลูกของคนที่เป็นแพะคดีนี้มาออกรายการ

เล่าว่าพ่อเค้าน่าสงสารมาก โดนใส่ความ ทั้งที่ไม่ได้ฆ่า แต่ตำรวจอะบังคับให้รับ ถ้าไม่รับก็ซ้อม

แล้วตอนไปอยู่ในคุก ก็ถูกพวกเจ้าถิ่นรุมเอา น่าสงสารมาก

ทั้งที่ตัวเองควรจะมีชีวิตที่ดี แต่กลับต้องมาอยู่ในที่ที่ไม่สมควรจะอยู่

ไอพี: ไม่แสดง

#25 | ploii | 16 ต.ค. 52 22:02 น.

[color=Red]นวลฉวี ตำนานนางพยาบาลสาวที่ไม่ยอมเสีย**ให้ใคร


        ถ้าจะมีการจัดอันดับ คดีฆาตกรรมที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของไทย คดีนวลฉวีจะต้องติดอันดับหนึ่งแน่นอนชัวร์ป๊าบ

        เพราะอะไรเหรอคดีนี้เป็นคดีแรกที่คนอาชีพหมอฆ่าคนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย การตายของนวลฉวีเป็นโศกนาฏกรรมของความรักที่แสนลึกซึ้ง การตายของนวลฉวีชี้ถึงข้อบกพร่องของศาลไทย และการตายของเธอก่อให้เกิดตำนาน "บ้านผีสิง" จนมาฉายใหม่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจนถึงปัจจุบัน  (แต่เมื่อผมอ่านคดีนี้แล้วถ้าผมเป็นหมออธิปผมคงจะฆ่าเธอเหมือนกับเขาแหละ)



        จงลืมเรื่องราวในหนัง ในสารคดี จากหนังสือที่อื่นทั้งหมด เนื้อความต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง ที่ย่อมาจากเนื้อความทั้งหมด 150 หน้าสุดละเอียด (แต่อ่านฟรี) เหมือนดั่งสารคดี ชั่วโมงโลกตะลึง ที่จะย้อนไปจุดเริ่มต้นการพบเจอกันระหว่างนวลฉวีกับหมออธิป จนถึงจุดสิ้นสุดของคดี.........



        นวลฉวี

       

        นวลฉวี เพชรรุ่ง เกิดวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในครอบครัวที่มีฐานะมั่งคงพอสมควร เพราะมีที่นาให้คนอื่นเช่าแม้จะมีลูก 10 คน แต่ลูกๆ ทุกคนได้รับการศึกษาขั้นดี มีการงานนับหน้าถือตา

        นวลฉวีแม้เป็นผู้หญิงรูปร่างบาง ตัวเล็ก หน้าตอพอใช้ได้ แต่เธอก็มีเสน่ห์ ร่าเริง มีชีวิตชีวา และหัวดี เจนสามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนพยาบาลที่ศิริราชพยาบาล และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2497 จากนั้นก็ออกไปทำงานที่โรงพยาบาลภูมิพลประมาณปีเศษก็ออกเพราะมีเรื่องกับคนในโรงพยาบาล จึงย้ายมาเป็นนางพยาบาลที่เมืองบ้านหมี่ประมาณ 1 ปี จากนั้นก็ทำงานในสถานพยาบาลยาสูบปี พ.ศ.2501 โดยพักอยู่ในโรงพยาบาล

        ช่วงต้นปี พ.ศ. 2501 นวลฉวีได้เดินทางเที่ยวทางเหนือกับเพื่อนชื่อโมทนี และพบรักกับหมอคนนี้ชื่อ หมออธิป สุญาณเศรษฐกร



        และหมออธิป สุญาณเศรษฐกร นี้แหละคือคนที่เปลี่ยนชีวิตของนวลฉวีให้อยู่ในรูปของตำนาน!



        หมออธิป สุญาณเศรษฐกร

       

        หมออธิป สุญาณเศรษฐกร เกิดและโตในกรุงเทพฯ เป็นบุตรคนสุดท้องในลูก 5 คน ในครอบครัว พ่อแม่เป็นข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ อดีตเคยเป็นคนในจังหวัดฉะเชิงเทรา

        หมออธิปเป็นหนุ่มที่หน้าตาค่อนข้างดี ใจเย็น และฉลาดเฉลียว เขาสามารถศึกษาชั้นเตรียมวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยจนจบเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยช่วงเวลาว่างหมออธิปจะสมัครทำงานที่อู่รถใกล้บ้าน เพื่อเก็บเงินซื้อหนังสือเรียนและซื้อขนมกิน

        ในปี พ.ศ. 2500 หมออธิปจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์ จากสิริราชพยาบาล ได้รับหมายเกณฑ์เข้าประจำสำรองราชการ กรมกำลังพลทหารอากาศ ได้รับว่าที่เรืออากาศโท เข้ารับราชการเป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลรถไฟ

        ในปี พ.ศ. 2501 หมออธิปย้ายไปเป็นแพทย์รถไฟ หัวหน้าเขต 4 จังหวัดลำปาง



        จนพบรักกับนวลฉวีในเวลาต่อมา.........

       

ด้วยความเปล่าเปลี่ยวของหนุ่มเมืองที่ต้องห่างไกลความเจริญมาอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบแห่งบ้านป่า เมื่อมีโอกาสได้ทำความใกล้ชิดกับหญิงสาวที่มีเสน่ห์ และรู้จักเอาใจอย่างนวลฉวี ทำให้หมออธิปมีความสุขและมีชีวิตชีวา ความรักใคร่ที่ค่อย ๆ ก่อเกิด ชั่วระยะเวลาไม่นานที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ สองคนหนุ่มสาวก็ผูกจิตปฏิพัทธ์ และต่างรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้เช่นกัน

หมออธิปได้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทสก์พาหญิงสาวทั้งสองเที่ยวด้วยกันประมาณ 3-4 วัน หลังจากนั้นนวลฉวีกับเพื่อนก็อำลาหมอเดินทางไปที่เชียงใหม่ต่อ ทิ้งความหลังอันหวานชื่นไว้ที่นครลำปาง ดินแดนแห่งการคร่ำครวญหวลหาของนวลฉวี เธอพบชายหนุ่มในดวงใจเข้าแล้ว

        ต่อมาจดหมายจากกรุงเทพฯ ของนวลฉวี ถูกส่งไปถึงมือหมออธิปที่นครลำปางเป็นระยะๆ จนกระทั้งผ่านไป 6 เดือน หมออธิปย้ายกับโรงพยาบาลดังเดิม เขาทำการติดต่อนวลฉวี โดยใช้สื่อทางจดหมายแทนโทรศัพท์เป็นระยะ ความรักทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นจนกลายเป็นสามีภรรยาโดยพฤตินัย โดยใช้บังกะโล และโรงแรม เป็นเรือนหอชั่วคราว



        ความรักของคนสองคนดำเนินไปอย่างหวานชื่น โดยต่างฝ่ายปิดบังอำพรางธาตุแท้ของตนเอง…



        เดือนกุมภาพันธ์-ธันวาคม 2501 นวลฉวีล้มป่วยในโรงพยาบาลยาสูบ 1 เดือน หมออธิปไปเยี่ยมนวลฉวีหลายครั้ง อาการของเธอบ่บอกว่าตกเลือดมากแต่เธอไม่บอกใครว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไร แต่ดูจากอาการหมออธิปรู้ทันทีว่าเธอคงแท้งลูก

        ชีวิตของหมออธิปเริ่มยุ่งเหยิงขึ้น เนื่องจากการมีผู้หญิงเข้ามาในหัวใจของหมอ นางสาวสมบูรณ์ สืบสมาน นักศึกษาสาวแห่งมหาวิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ ปีสุดท้าย เธอเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กของหมออธิป เธอสวยเหลือเกิน

        ต่อมาหมออธิปสอบได้ทุนฮุมโบลก์ไปเรียนต่อที่ประเทศเยอมัน เนื่องจากโรงพยาบาลรถไฟจะเป็นแผนกใหม่ พอกลับมาหมออธิปก็เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกตาที่นี่

        ในเดือนมกราคม 2502 ทางการรถไฟส่งหมออธิปไปฝึกงาน โรคหู ตา จมูก ที่โรงพยาบาลศิริราช 6 เดือน ตอนเย็นก็ไปเรียนภาษาเยอรมันที่เลขาทูต ทำให้เวลาที่หมอได้เจอนวลฉวียิ่งหดหายไป

        ฝ่ายนวลฉวีเริ่มระแคงระคายความรักของหมออธิป  ด้วยความหึงหวง เธอถึงกลับใช้วิธีต่างๆ เพื่อจับหมออธิปให้อยู่หมัด ไม่ว่านั่งเฝ้าหมอในที่ทำงาน ตามทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว แทนที่หมออธิปจะรักกับเพิ่มความรำคาญแก่หมออธิปมากขึ้น มีอย่างที่ไหนตามอย่างกับเป็นเมียเรานี้แหละ

        11 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับนวลฉวี เพชรรุ่ง ที่ อำเภอยานนาวา

        หมออธิปกล่าวถึงวันนั้นว่า "ที่จริงผมไม่อยากจดทะเบียนกับเธอหรอก เพราะไรเหรอ มันก็พูดยาก หลายเรื่องบอกไม่ถูก คือเขาชอบตามผมทุกวันทุกคืน งานการเขาก็ไม่ทำ มานั่งเฝ้า ผมนี้รำคาญสุดๆ ผมไม่อยากจดหรอก แต่จดก็จด มันอยากให้จดก็จดไป จะได้ตัดปัญหาซะที"

        แต่ถึงอย่างไรก็ตาม 17 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับสมบูรณ์ สืบสนาม ที่อำเภอพระเนตร(นางสมบูรณ์อยู่ตรงกลางของรูป)

       
        สมรสซ้อน!??

        "....พอผมจดทะเบียนกับนวลฉวี สมบูรณ์เขารู้ ขอจดทะเบียนกับเขาอีก ผมก็ตัดปัญหานี้ไป อยากให้เรื่องมันเงียบหาย จะได้ไม่ไปบอกใครให้เป็นขี้หูคนอื่น"

        แต่กระนั้นนวลฉวีและสมบูรณ์ก็มีเรื่องระหองระแหงกันนับตั้งแต่จดทะเบียนกับหมออธิป ถึง 7 ครั้ง  เคยทะเลาะกันในโรงพยาบาลที่หมออธิปทำงานอยู่ จนหมออธิปเคยขอผู้หลักผู้หญิงออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงสองคนนี้เข้าในโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด"

        นอกจากนี้นวลฉวีเคยไปฟ้องอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆหลายครั้ง

       


แม้ว่านวลฉวีจะจดทะเบียนสมรส แต่เธอยังไม่ได้แต่งงานกับหมออธิปสักที แถมหมอก็ไม่เอาใจใส่ตนเหมือนครั้งก่อนๆ เธอต้องการแต่งงานกับเขา เธอต้องใช้วิธีต่างๆ ให้เขาอยู่ในใจฉันให้ได้



และนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่นวลฉวีก้าวผิด จังๆ



พฤษภาคม 2502 นวลฉวีบอกครอบครัวว่าเธอกับหมออธิปจะแต่งงานกัน ครอบครัวเลยเชิญให้หมออธิปมากินข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อคุยเรื่องแต่งงาน แต่หมออธิปไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้บอกเธอครับ เธอคิดไปเอง"

4 มิถุนายน 2502 พ่อของนวลฉวี มาพบนวลฉวีที่กรุงเทพฯ นวลฉวีบอกพ่อว่าเธอได้เสียกับหมอแล้วตอนทำงานที่โรงพยาบาลรถไฟ หมออธิปรู้ข่าวเลยบอกว่าจะเลี้ยงดูนวลฉวีให้ แต่เรื่องก็เงียบหายไป"

5 มิถุนายน 2502 นวลฉวีพบหมออธิปอยู่กับผู้หญิงในโรงพยาบาลรถไฟ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น

11 หรือ 12 มิถุนายน 2502 นวลฉวีบอกกับพี่เขยว่าจะไปอยู่กับหมออธิปนี้ไงเตรียมขนของแล้วนะ ส่วนหมออธิปรู้เรื่องนี้หรือเปล่า ไม่รู้สิ  เขาคงไม่รู้มั้ง?

13 มิถุนายน 2502 นวลฉวีถูกไล่จากครอบครัวหมออธิป(ตอนนั้นหมออธิปไม่อยู่บ้าน) มันน่าไล่จริง ๆ นี้มารอตั้งแต่เช้าจนถึงตี 1 ไม่ยอมกลับ พอหมออธิปกลับมาบ้านก็โดนครอบครัวด่า

"เมียแกคนบ้าหรือเปล่าเนี้ย"

ไอพี: ไม่แสดง

#26 | ploii | 16 ต.ค. 52 22:03 น.

[color=Red]เหตุการณ์ครั้งนี้นวลฉวีได้ระบายเรื่องทั้งหมดลงใน "สมุดบันทึก" ซึ่งภายหลักสมุดนี้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ(ได้ไง?)ที่ใช้สืบหาฆาตกรที่ก่อคดีฆ่าเธอยกแก๊ง ปัจจุบันหลักฐานนี้อยู่ในการดูแลของห้องพิพิธภัณฑ์นิติเวชวิทยา โรงพยาบาลศิริราช เคียงข้างกับร่างสงบนิ่งของฆาตกรใจโหดนาม "ซีอุย"

13 กรกฎาคม 2502 เวลา 11.30 น. นวลฉวีเข้ามาโรงพยาบาลดุ่มๆ หาคุณหมออธิป เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกดังนี้...

"ดิฉันพบนายแพทย์อธิปสามีฉันที่โรงพยาบาลรถไฟ จากนั้นก็คุยเรื่องปัญหาชีวิตของเราทั้งสอง...."

หมออธิปเริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่ นี้ผมทำต้องทำงานนะ มากวนอยู่ได้ ว่าแล้ว หมอก็กำหมัด ต่อยไปที่ใบหน้านวลฉวีจังๆ นวลฉวีกรีดร้อง "ช่วยด้วย หมอรังแกผู้หญิง" , "หมอจะฆ่าเมีย ช่วยด้วยหมอจะฆ่าเมีย" จนหมออธิปเข้ามาปลอบและพาไปยังห้องคนไข้ พร้อมสายตาคนเกือบทั้งโรงพยายามที่มองไปยังคนทั้งสอง

13 กรกฎาคม 2502 นวลฉวี แจ้งความตำรวจว่าถูกหมออธิป ทำร้ายร่างกายตน

14 กรกฎาคม 2502 หมออธิปตกลงเงื่อนไขนวลฉวีให้ปรองดองกัน เพราะเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องเลยจบลงที่การบันทึกประจำวัน

15 กรกฎาคม 2502 บาดแผลที่หมออธิปชกหน้านวลฉวีลุกลาม และเจ็บปวดมาก แต่นวลฉวีขอตำรวจไม่เอาผิดหมออธิปเพิ่ม เพราะกลัวเขาเสียอนาคต เธอบันทึกเรื่องราวนี้ในสมุดบันทึกอย่างละเอียด...

เรื่องนี้ส่งผลให้นวลฉวีต้องเข้านอนโรงพยาบาล โดยนวลฉวีขอให้หมออธิปเป็นผู้รักษาเธอ แต่ถึงกระนั้นหมออธิปก็ไม่มาหาเธมากนัก

เรื่องนี้หมออธิปเดือดดานสุดๆ ถึงกับระบายเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "อยากจะบ้าตาย ถูกมาบังคับให้นอนเฝ้าด้วย โอ๊ย! ผมต้องทำงานนะ บางคืนก็เฝ้าทั้งที่ทำงานอยู่ ไปเฝ้านานก็ไม่ได้ เดี๋ยวสมบูรณ์เข้าไปอาละวาดอีกเรื่องมันจะวุ่น"

17 กรกฎาคม 2502 พ่อของนวลฉวีมาเพื่อเอาเรื่องกับหมออธิป ช่วงนี้หมออธิปดูแปลกๆ ไป ไม่สนใจเรื่องนี้มานัก เขาพูดสั้นๆ ว่า "แล้วแต่ศาล"

นวลฉวีบันทึกเหตุการณ์นี้ลงสมุดบันทึก ด้วยคำสาปแช่งถึงหมออธิป"เชิญแกไปหาเมียใหม่ตามสบายเถอะ ฉันรู้นะว่าปีศาจในตัวแกจะแสดงบทบาทอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้......."

22 กรกฎาคม 2502 นวลฉวีทำหนังสือร้องเรียนให้สารวัตฝ่ายสืบสวน เล่าว่าหมออธิปไม่ทำตามทัณฑ์บนที่ทำไว้ให้ นอกจากนั้นยังทำทารุณกับเธออีก โดยดึงสะโพกไปกระแทกกับก๊อกน้ำและเลือดไหล ความเจ็บปวดยากจะบรรยาย จึงอยากขอให้พิจารณาดำเนินคดีใหม่อีกครั้ง

28 สิงหาคม 2502 หมออธิปไปที่โรงพัก เพื่อการทำการสอบสวน เขาสารภาพทุกอย่างตามที่กล่าวหา

31 สิงหาคม 2502 หมออธิปได้รับโทรศัพท์จากนวลฉวีให้ไปหานายธวัชเพื่อนของเธอ และเป็นที่ปรึกษาคดีทำร้ายร่างกายชองเอด้วยในครั้งนี้ หมออธิปไปตามที่นวลฉวีที่ทำการรถไฟสทานกษัตริย์ศึกเวลา 10.00 น. นายธวัชแนะนำให้หมอกับนวลฉวีคืนดีกัน หมออธิปรับปาก จึงได้เขียนจดหมายใส่ซองปิดผลึกให้ พ.ต.อ. เจ้าของคดีนี้ ใจความว่า

"เราจะคืนดีกันแล้ว....."



และก็ถึงวันนั้น.........



1 กันยายน 2502 หมออธิปและนวลฉวีเข้าพบสารวัตรใหญ่พญาไท ขอให้ระงับคดีทำร้ายร่างกาย ก่อนที่จะนั่งรับประทานอาหารที่โรงหนังคิงส์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ

9 กันยายน 2502 นายธวัชไม่สบาย จึงขอลางานเพื่อไปเยี่ยมนวลฉวี นวลฉวีชวนนายธวัชไปวัดสามง่ามเพื่อเอายาไปถวายพระ และให้พระดูดวงให้ พระบอกนวลฉวีไว้ว่า "ต่อไปนี้ซะตาจะดีแล้ว!???"

เวลา 20.30 น. หมออธิปเข้าพบนวลฉวีและนายธวัช พูดจาเรื่องเรือนหอของเราสองคน

เวลา 23.00 น. นายธวัชกลับไปก่อน ต่อมา นางพยาบาลเรียกให้หมออธิปให้ดูคนไข้ ที่กำลังจะคลอด หมออธิปช่วยคนไข้อยู่นานจนถึงเที่ยงคนจึงนำนวลฉวีส่งโรงพยาบาลยาสูบเพราะนวลฉวีรบเร้า



จนกระทั้ง......... นวลฉวีโทรศัพท์ถึงนายธวัชบอกว่า เมื่อคืน ตอนที่หมออธิปส่งที่โรงพยาบาลยาสูบ เราทะเลาะกัน รายละเอียดจะคุยให้ฟังตอนเย็น ถ้าเลิกงานแล้วให้ไปพบที่โรงพยาบาลยาสูบ

เย็นวันนั้น นายธวัชมัวไปทำธุระที่อื่น ก่อนจะไปโรงพยาบาลยาสูบเป็นที่ต่อไป จวนเวลา 1 ทุ่ม แต่ไม่พบนวลฉวี ยามยาสูบเห็นเธอแต่งตัวออกไปข้างนอกนานแล้ว.....



นวลฉวี จากไป และไม่กลับมาอีกเลย



พบศพ

เช้าวันที่ 12 กันยายน 2502 เวลา 8.45 น.

นายจำลอง จิรัตฐิตกุล ช่างกลปากเกร็ดนั่งเรือแท็กซี่จากบ้านที่คล้องอ้อมไปทำงาน ระหว่างที่นั่งเรือแท็กซี่นั้นเขาได้พบกับ ศพ!

ศพนี้ลอยแม่น้ำมาอย่างเวทนา ในแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากตัวนนทบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ระหว่างโรงงานกระดาษเก่ากับวัดเฉลิมพระเกียรติ นายท้ายเรือเข้าไปดูศพสวมเสื้อสีฟ้าอ่อน นุ่มกระโปรงดำเป็นลายปักศพอยู่ในลักษณะหงายมือพาดหน้าอก คาดเข็มขัดโตสีฟ้า ที่ข้อมือและแหวนทองลงยาจารึกนามสกุล "รามเดชะ"(สกุลเดิมของหมออธิป)

เมื่อเรือแล่นมาถึงจังหวัดนนทบุรี นายจำลองแจ้งความติดต่อตำรวจนนทบุรีทันที

ศพถูกส่งไปวัดนครอินทร์ กิ่ง ต่อด้วยโรงพยาบาลตำรวจนนทบุรี เพื่อการชันสูตรศพ เป็นการด่วน

ผลจากการชันสูตร สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงจนเลือดตกในมากและสิ้นใจก่อนถูกโยนลงน้ำ บาดแผลที่ถูกแทงมีทั้งหมดสีข้างข้างขวาและที่หลังด้านซ้ายรวม 3 แผล แต่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของศพไม่พบรอยฉีดขาด

"ท่ามกลางความมืดของคืนวันหนึ่งในเดือนกันยายน 2502 ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้ลงมือสังหาร นวลฉวี นางพยาบาลสาวถึงแก่ชีวิตตามที่ได้รับว่าจ้าง ..."



วันที่ 13 กันยายน 2502 22.00 น. ศพที่พบลำน้ำเจ้าพระยาถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ตายชื่อนวลฉวี (สืบจากชื่อที่สลักของแหวน) หมออธิปทราบข่าวการตายของนวลฉวี และเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าว หมอตอบสั้นๆ ว่า "เธอเป็นภรรยาผมก็จริง แต่เราไม่อยู่ด้วยกันครับ แยกกันอยู่ พรุ่งนี้ค่อยไปรับศพครับ เพราะมันดึกแล้ว แหะๆ"

คดีนี้เดาผู้ต้องสงสัยไม่ยาก เพราะนวลฉวีไม่มีศัตรูภายนอกที่ไหน ยกเว้นภายใน และมากที่สุด เห็นจะไม่เกินสามีที่อยากกำจัดภรรยาจอมยุ่งให้ไปพ้นๆ ทาง

หมออธิป

        14 กันยายน 2502 ตำรวจเชิญตัวหมออธิปไปสอบสวน และพบรอยข่วนที่ข้อมือหมอ ตำรวจไม่รอช้าถ่ายบาดแผนนี้เก็บเป็นหลักฐานพร้อมกับแจ้งข้อหมา "หมอฆ่าเมีย" ทันที

        ในกลางดึกของกลางเดือนกันยายน ภายหลังจากหมออธิปถูกจับ ขบวนรถตำรวจรับหมอและคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยหมออธิปนั่งมา เพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่ง

        "จอมพลสฤษดิ์อยากพบหมอครับ มีอะไรก็รับๆ เสียนะครับ ถ้าไม่รับหมอโดนยิงเป้าแน่ ฮะๆ คิดดูให้ดีนะครับหมอ"

        หมออธิปหน้าซีด เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ และเป็นนายกรัฐมนตรี พ่วงด้วยอธิบดีกรมตำรวจ มีนิสัยชอบสั่งยิงเป็นคนเป็นว่าเล่นเหมือนผักเหมือนปลา  ตอนตำรงตำแหน่งนายกก็สั่งยิงเป้า ถึง 6 คน


[color=Red]        ภายในห้องทำงานบุรุษร่างใหญ่ผิวคล้ำ ท่าทางเด็ดขาดน่าเกรงขามนั่งรอท่าอยู่ก่อนแล้ว หมออธิปเย็นวาบถึงไขสันหลัง สักครู่ท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติไม่ร่ำทำเพลงพูดด้วยเสียงเด็ดขาด

        "หมอฆ่าเมียตัวเองอย่างที่เป็นข่าวจริงไหม ถ้าจริงจงรับมาเสียอย่าปากแข็ง พูดตรงๆ แบบลูกผู้ชายดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา"

        "ผมไม่ได้ทำครับ ผมขอปฏิเสธ" หมออธิปรวบรวมกำลังใจพูด

        "มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริงๆ มันเหมือนกับตัวเองไปหาพยายมเพื่อตัดสินความผิดอย่างงั้นแหละ" หมออธิปย้อยความหลัง

        ทางด้านตำรวจยศสูงต่างๆ ในสถานีตำรวจนนทบุรีได้ร่วมทำการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้  และทราบว่าหมออธิปมีเพื่อนสนิทคือนายชูยศและนางสุขสมพ่อของเขาเคยเป็นคนไข้ของหมออธิปมาก่อน และรักษาพ่อจนหาย ทำให้ชูยศซึ้งในน้ำใจของหมออธิป ถึงขนาดยอมตายแทนหมอเลยแหละ

        17 กันยายน 2502 หนังสือพิมพ์แต่ละสำนักต่างลงข่าวว่า นายชูยศ มีส่วนเกี่ยวข้องคดีฆ่านวลฉวี

        ผลจากการชันสูตรนวลฉวี มีการเพิ่มเติมคือ ตอนที่เธอถูกแทงนั้น เธอไม่ได้สวมผ้านอกและจากการตรวจสอบบนสะพานพบรอยหยดเลือดเล็กบ้างใหญ่บ้าง แสดงถึงการเอาศพมาถึงที่จุดนั้น

        หลักฐานการสืบสวนคดีฆ่านวลฉวีเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ตำรวจพบกระดุมสีน้ำตาลแก่ตก 1 เม็ดบนพื้นถนนริมทางหลวง รอยเลือดจากราวสะพานเหล็กที่เป็นคราบสีน้ำตาล ฯลฯ

        20 กันยายน 2502 ตำรวจบุกไปบานของนายชูยศในสวนบางบำหรุ ธนบุรี แต่ไม่มีคนอยู่ ประตูใส่กุญแจไว้ จากการตรวจสอบบ้านได้พบรอยเลือดที่พื้นบันได้หลังบ้าน ตำรวจจึงเก็บหลักฐานเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังพบเลือดที่พื้นห้องครัวเรือนบนเตียงและที่พื้นบันได ทั้งพบหลอดยาเอทิลคลอไรด์ พร้อมมีดปลายแหลมในห้องครัว

        27 กันยายน 2502 นายชูยศพร้อมภรรยาเข้ามอบตัวกับตำรวจ มีการสอบสวนนิดๆ หน่อยๆ ก่อนปล่อยตัวกลับไป โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

        14 ตุลาคม 2502 เจ้าหน้าที่คุมนายชูเกียรและภรรยาไปหาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์(อีกแล้ว) เพราะคดีฆ่านวลฉวีดังมากในยุคนั้น และตัวจอมพลก็สนใจ แต่กระนั้นนายชูยศไม่ได้เข้าพบจอมพล มีเพียงแต่ภรรยาชูยศเท่านั้นที่พบ

        นายกรัฐมนตรีถามนางสุขมภรรยาของนายชูยศ "มีความสัมพันธ์กับหมออธิปอย่างไร"

        นางสุขุมคิดว่านายกถามเรื่องเงินทองๆ เลยตอบว่า "มี"

        และแล้วรุ่งเช้าหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าว "นางสุขสมยอมรับจอมพลว่าเสียตัวให้หมออธิป!!" (ข่าวกรองมากๆๆ)

        28 ตุลาคม 2502 นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหร่อและช่างไม้ที่มีบ้านติดๆ กับนายชูยศมาก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวที่วัดน้อยนางหงส์ ฐานสงสัยว่าเป็นคนฆ่านวลฉวีฆ่ามือ

        30 ตุลาคม 2502 คำให้การพยานมากน่าหลายตา ทั้งเพื่อนของนวลฉวี ยามยาสูบ ให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจเชื่อว่าหมออธิปต้องเป็นฆ่านวลฉวีแน่นอน

        และไม่นานนัก ตำรวจก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยฆ่านวลฉวีได้ยกแก๊งประกอบด้วย

        นายชูยศและนางสุขสม ตัวกลางประสานแผนการ

        นายมงคล  เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหล่อมือสังหาร เคยมีประวัติหนีคดีที่อื่นมาก่อน มีอาชีพเป็นสัปเหร่อและช่างไม้อาศัยอยู่บ้านแม่ยายติดๆ กับนายชูยศ

        นายชูเกียรติ ผู้ช่วยฆ่า

        นอกจากนี้มีผู้ต้องสงสัยอีกคือ นายยง ยิ้มกมล และนายเยี่ยม แต่ตำรวจกันไว้เป็นพยาน

\        ทั้งหมดให้การรับสารภาพในเวลาต่อมา....

        น่าแปลกที่ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดก่อนถูกจับไม่มีท่าทีคิดจะหนีสักนิด.....(พวกนั้นแก้ตัวว่าหลังทราบข่าว ทั้งแก๊งก็กลัวขี้หดตดหายไปแล้ว ส่วนผู้ว่าจ้างหมออธิปก็เงียบไม่มาช่วยวางแผนว่าเอาไงดีเลย ฮื้อๆๆ)

       

        แต่กระนั้นช่วงเวลาการสังหารโหดนวลฉวี ตำรวจไม่เห็นภาพมากนัก ฆาตกรไม่ใช้มีคนเดียว มันทำเป็นหมู่คณะ ภายใต้การนำของหมออธิป ตำรวจเชื่ออย่างนั้น แต่ก็ไม่เห็นภาพวินาทีสังหารชัดเจนมากนัก แต่จากประมวลคำของพยานและหลักฐานวัตถุการสังหารนวลฉวีมีการวางแผนเป็นขั้นๆ เป็นตอนๆ เรียบเรียงได้ดังนี้.........

        เริ่มจากหมออธิปคิดฆ่านวลฉวีภรรยาของตนเอง หมอคิดจะทำไงดี พอดีคิดได้ว่าตนมีเพื่อนสนิทแม้มันจะเลวสักหน่อยแต่ใช้ได้ หมออธิปเลยบึงรถไปที่บ้านของนายชูยศเพื่อนสนิทเพื่อต่อรองราคา....

"อั๊วจะฆ่าเมียอั๊ว** เงินค่าจ้างมีเยอะ รวยซะอย่าง"

นายชูยศตกลงทันที เงินจำนวนมากสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยง

ปีศาจในตัวหมอเริ่มแสดงบทบาทแล้ว!!

ไอพี: ไม่แสดง

#27 | ploii | 16 ต.ค. 52 22:04 น.

        เดือนสิงหาคม เวลา 11.00 น.นายชูยศและนางสุขสม ไปที่สวนบ้านนายยง ยิ้มกมล ถามว่าแถวนี้มีใครมือดีบ้างที่สามารถฆ่าผู้หญิงโดยไม่มีหลักฐานนะ นายยงบอกว่ามีสัปเหล่อคนหนึ่งเห็นแกบอกว่าเคยฆ่าคนมาก่อน ว่าแล้วนายชูยศสนใจ จึงให้ภรรยาทำการว่าจ้าง นายยง ยิ้มกมล โดยจ้างนายยงเป็นเงิน 10,000 บาท ให้พานายคนนั้นมาหา โดยได้รับเงินค่าจ้าง 5,000 บาท ครึ่งหนึ่งไปก่อน

        วันรุ่งขึ้น นายยงพาตัวนายมงคลมาหานายชูยศ นายชูยศบอกว่าให้ไปฆ่าผู้หญิงคนหนึ่ง และจะได้เงินว่าจ้างหมื่นกว่าบาท โดยให้เงินล่วงห้าห้าพันบาทก่อน

        นายมงคล ตอบตกลงไม่มีลังเล

        วันรุ่งขึ้น ทั้งหมดพบหมออธิปผู้ว่าจ้างตัวจริง นายชูยศแนะนำหมอให้ผู้รับจ้างทราบกันโดยทั่วกัน จากนั้นหมออธิปก็ให้เงินนายยง ล่วงหน้า 5000 บาท เป็นเงินมัดจำฆ่าคน จากนั้นหมออธิปก็วางแผนตกลงกันว่าจะพานวลฉวีภรรยาของหมอมาฆ่าโรงครัวบ้านหลังนี้ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือหมออธิปจะเตรียมไว้อีก ขอให้มาตามเวลากำหนด เข้าใจ๋!!

        จากนั้นก็ถึงเวลาลงมือสังหาร วันที่ 10 กันยายน 2502

        ตอนเช้าหมออธิปโทรศัพท์นัดนางนวลฉวีและรับนางนวลฉวีจากโรงพยาบาลยาสูบ โดยพาไปที่บ้านสร้างใหม่นายชูยศที่สวนบางบำหรุ

        เวลาบ่ายโมงเศษ นายยง ไปที่บ้านนายชูยศ สมทบกับนายชูเกียรติ เพื่อดูสถานที่ทำการฆ่า เตรียมมีดปลายแหลม ผ้าพลาสติก และสายไฟคู่สีเหลือง 1 ขด และไม้ไผ่เพื่อหามศพ เตรียมเสร็จแล้วนายยงก็กลับบ้านนอนเอาแรง

        5 โมงเย็น นายยง นายชูเกียรติ และ นายชูยศ พากันมาซุ่มที่ห้องน้ำรอดูหมออธิปพาผู้หญิงมาฆ่า

        เวลา 18.00 น. เศษ หมออธิปนำนวลฉวีมาทางหน้าบ้านของนายชูยศ แล้วพาเข้าห้องครัว ปิดประตูลงกลอน หมออธิปรอจังหวะที่นวลฉวีเผลอ**ะยาสลบจนเธอนอนหลับ

        หมออธิปหัวเราะฮิ ฮิ ชะโงกหน้าต่างเรียกลูกสมุน ก่อนออกจากห้อง ปล่อยลูกสมุนมาจัดการ

        จากนั้นก็ถึงเวลาสังหาร!!

        นายยงข่มขื่นนวลฉวี 1 ครั้ง นวลฉวีไม่รู้สึกตัวเพราะโดนยาสลบ

        นายมงคลจับแขนซ้ายหญิงนั้นลงคร่งตะแคงทางขวา

        จากนั้นนายมงคลได้หยิบมีดปลายแหลมทำการแทงนวลฉวีไป 3 ครั้ง นวลฉวีร้อง อึๆ นายมงคลแทงจนรู้ว่าเธอไม่น่ารอดแล้ว จึงบอกนายเยี่ยมน้องชายมาช่วย(ถูกกันไว้เป็นพยาน) "เมื่อข้าข่มขื่นเธอเสร็จแล้ว ข้าย้ายผู้หญิงลงครึ่งคว่ำตะแคงทางขวาของผู้หญิงคนนั้น จากนั้นข้าก็เอามีดสีขาวปลายแหลมที่พื้นกระดานปลายเตียงแล้วแทงผู้หญิงคนนั้นทางหลังไป 3 ที ไม่รู้ที่จุดตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นร้อง ฮึๆ อือๆ สองสามครั้ง จากนั้นข้าก็ตามนายเยี่ยมมาช่วยหามศพ"นายมงคลบอกต่อศาล

        จากนั้นทั้งสองคนช่วยกันเอาเสื้อชั้นนอกที่หัวเตียงสวมให้ศพ แล้วยกศพวางบนผ้าพลาสติกซึ่งปูไว้แล้ว นายมงคลเอาสายไฟมัดที่ข้อเท้าศพ มัดบั้นเอว และมัดที่หัวไหล่ จากนั้นก็ใช้ไม้ไผ่สอดใต้สายไฟที่มัดไว้แล้วหามศพออกจากบันไดหลังบ้าน โดยมีเลือดหยดตามพื้นเป็นรายทาง นายยงและนายเยี่ยมหามศพ ส่วนนายมงคลทำความสะอาดจุดสังหาร.....

        ศพของนวลฉวีถูกขนย้ายผ่านสวนพจน์ที่อยู่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ นายมงคลตามมา ทั้งสามข้ามคูถนนจรัลสนิทวงศ์ ลุยคูน้ำที่มีน้ำลึก 50 ซม. ไปหานายมงคลตรงหลักกิโลเมตรที่เดิม จากนั้นก็วางศพไว้ข้างถนน หมออธิปเปิดประตูรถ จ้างเงินค่าจ้างที่ค้างไว้ให้ทั่วหน้าทุกคน จากนั้นก็ช่วยกันเอาศพขึ้นรถ บรรทุกโฟล์คสวาเก้น กข.ข.0253  มุ่งหน้าไปทางสะพานพระราม 6

        สำหรับไม้ไผ่หามศพ นายเยี่ยมเป็นคนนำไปทิ้ง แต่ทิ้งที่ไหนไม่มีใครทราบ

        แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่แก๊งทิ้งศพนวลฉวี มีรถคนหนึ่งผ่านมาเกิดสงสัยว่าทำไมรถถึงจอด รถเสียเหรอ เลยหยุดจอดถาม แค่ได้เสียงกระชากๆ ว่า "เปล่า" แทน

        2 ทุ่ม ศพของนวลฉวีถูกทิ้งจากสะพานนนทบุรีลงแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านแถวๆ นั้นได้ยินเสียงตูม! กันไปทั่ว

        บ้ายบาย นวลฉวี.........

       

        แต่อุตสาห์วางแผนอย่างดิบดี ดันมาพลาดเพราะแหวนวงเดียว โอยวันหลังหัดปลดเครื่องประดับบ้างสิโว๊ย!!

       

        ขุนสุญาณเศรษฐกร บิดาหมออธิป เห็นท่าคดีนี้หมออธิปจะแพ้ จึงจ้างนายชมพู อรรถจินดา ทนายความที่มีชื่อเสียงด้วยจำนวยสูงลิบลิ่ว หมออธิปเริ่มมั่นใจว่ามีทนายฝีมือดีตนต้องชนะคดีแน่นอน

        การพิจารณาศาลเป็นไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่านเพราะมันเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ไทยต้องจารึก ใครแพ้มีหวังล่มจม....ส่วนประชาทั้งประเทศต่างจับจ่อคดีนี้แบบไม่กระพริบตา อยากรู้ว่าผลความยุติธรรมจะทำให้นักโทษทั้งหมดโดนประหารหรือไม่

        "ถ้าผมจะฆ่าภรรยาผม ทำไมผมต้องจ้างคนอื่นให้เสียเวลาทำมาหากินด้วยละ สู้เอามือบีบคอภรรยาให้ตายคามือดีกว่ามั้ง" หมออธิปแก้ตัวต่อศาล



        วันที่ 12 ธันวาคม 2503 ณ ศาลอาญา บังลังก์ที่สอง คือวันพิพากษาหมออธิปและพรรคพวก...



        ผู้พิพากษาทั้งสี่ประกอบด้วย นายเฉลิม กรพุกกะณะ นายพินิจ เพชรชาติ  นายสว่าง เวทย์ และนายวุฒิกรรม วงษ์ศิริ ออกมานั่งบัลลังก์ตัดสินคดีประวัติศาสตร์อาชญากรรมท่ามกลางประชาชนนับหมื่นที่แห่มาฟังคำพิพากษาอย่างมืดฟ้ามัวดิน จนถึงขนาดต่อลำโพงโดยรอบสนามหญ้าบริเวณศาลทหารอาญา เก้าอี้หลายตัวในศาลหักเพราะทานแรงคลื่นมนุษย์ไม่ไหว

        จนกระทั้ง นาทีระทึกขวัญมาถึง ทุกคนพากันสงบนิ่ง รอฟังผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินช่วงสุดท้าย

        "นายอธิปจำเลยที่ 1 มีความผิดตามที่กล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 อนุมาตรา 4) 83 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานก่อให้คนอื่นกระทำความผิดให้ต้องโทษประหารชีวิตนายอธิปจำเลยที่ 1

        ส่วนนายมงคล จำเลยที่ 5 มีความผิดฆ่าคนโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และ 83 ให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และริบมีดสั้นปลายแหลมที่ใช้กระทำผิดเสีย(ใครจะไปเอา)

        ส่วนนายชูยศ และนางสุขสม จำเลยที่ 2 และ 3 และนายชุเกียรติ จำเลยที่ 4 ศาลไม่มีหลักฐานเอาผิดเลยให้ปล่อยตัวพ้นผิดไป"

        สิ้นคำพิพากษา หมออธิปตกตะลึง เพราะตัวเองมั่นใจเต็มที่เพราะมีทนายมือหนึ่งของไทยว่าความ "ทำไมคนอื่นรอด แต่ตูตายฟ่ะ!!"

        แต่กระนั้น ภายหลังต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสร็จกลับจากประเทศนิวัตพระนคร ถือว่าเป็นวันมงคล หมออธิปได้รับอนิสงค์ได้รับการอภัยโทษ ประกอบกับพ่อแม่วิ่งเต้นทำให้หมออธิปถูกจำคุกเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น

        เหลือเชื่อ........???

        แต่อย่างไรก็ตาม หลังหมออธิปพ้นโทษ ชีวิตที่เหลือก็เข้าๆ ออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เพราะโรคติดตัวตอนอยู่ในคุก และจนถึงวาระสุดท้าย....หมออธิปนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ท่ามกลางญาติสนิท หมออธิปเอยปากก่อนตายเรื่องนวลฉวี

        "นวลฉวี พี่ขอโทษ พี่เป็นคนฆ่าเธอเองแหละ........." พูดจบหมออธิปก็สิ้นลมตายคาเตียงไปเลย



หลังจากนั้นมา ทุกคนต่างเรียกสะพานสะพานนนทบุรีสถานที่ทิ้งศพนวลฉวีนี้ว่า

" สะพาน นวลฉวี "



และหลังจากนั้น(อีก) บ้านที่นวลฉวีถูกฆ่าในสวนบางบำหรุก็ถูกเล่าลือว่าเห็นผีผู้หญิงอยู่บ้านหลังนั้น ทุกคนต่างเรียกหลังนั้นว่า

"บ้านผีสิง"



บันทึกรักนวลฉวีหนี้ลิขิต        เมื่อมีจิตริษยาน่าสงสาร

นวลฉวีคือรักหมอพยาบาล        เปิดตำนานฆาตกรรมซ้ำรอยมา

อุทาหรณ์ความรักนวลฉวี        คือการพลีร่างให้ชายได้หวนหา

แต่ความรักของชายมักโรยรา        ยามเมื่อคราสุขสมอารมณ์ปอง

ผู้ใหญ่สอนวอนว่าน่าคิดนัก        อันความรักนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง

แต่สมควรดำเนินความตามครรลอง  ท่วงทำนองประเพณีที่ดีงาม

ที่สำคัญยามรักร้างและลาจาก        ต้องยอมรักความพลัดพรากอีกขวากหนาม

อย่าขึงเคียดโกรธแค้นพยายาม        เที่ยวติดตามกระชากรักกลับคืนมา

ชีวิตจึงจบลงด้วยความเศร้า        ยามรักร้าวชีวิตเปลี่ยนแปรผัน

นวลฉวีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน        ฆาตกรรมลือลั่นสนั่นเมือง

หญิงชายจงจำไว้เป็นเยี่ยง        แต่อย่าเพลี่ยงพล้ำดำเนินเรื่อง

ความรักมิใช่มีให้ขุ่นเคือง        อย่าสร้างเรื่องฆาตกรรมอันเกรียงไกร

       

จบแล้ว


นี่คะ  จขกท อ่านไว้เป็นตัวอย่างเตือนใจค่ะ[/color][/color][/color]

ไอพี: ไม่แสดง

#28 | YUYa13Monkeys (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 22:10 น.

จขกท ขอบคุณมากๆค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#29 | E.L.F13OnlY[WON] (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 22:17 น.

แปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อย่าลบนะ
มันยาวมากมาย
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอ่านต่อจ้า
เราว่าข่าวที่ต้องเป็นตำนานต่อไป
ต้องเป็นข่าวฆ่าหั่นศพนองโชแน่เลย
น่าสงสารมากมาย

ไอพี: ไม่แสดง

#30 | ซารังอุนนน. | 16 ต.ค. 52 22:18 น.

อ้าว กำ เพชรบุรี จังหวัดข้าพเจ้าเอง -*-
ทำไมไม่รู้เรื่องเลยฟร่ะ เหอะ ๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#31 | ?amethyst: | 16 ต.ค. 52 22:21 น.

แปะๆๆๆๆๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#32 | @:RyEoWoOk:Memories@ (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 22:23 น.

ขอบคุณค่ะ จขกท ที่เอามาให้อ่าน

ไอพี: ไม่แสดง

#33 | เดินทางด้วยรองเท้า | 16 ต.ค. 52 22:24 น.

อ่า  คดี นวลฉวี  ไม่รู้จะว่าไงดี - -"  เหอๆ

หญิงก็ร้ายชายก็เลว  เอิ่ม...= =

มีอีกมั้ย  จขกท.

แก้ไขล่าสุด 16 ต.ค. 52 22:25 | ไอพี: ไม่แสดง

#34 | ปืนใหญ่ | 16 ต.ค. 52 22:33 น.

ไม่ขอพูดไรมาด
ไม่กล้าอ่านนวลฉวี เจอศพจริงมาแล้ว
รู้สึกหลอนไงไม่รู้

ไอพี: ไม่แสดง

#35 | MyStyleIs1D(5) | 16 ต.ค. 52 22:34 น.

จ.เพชรบุรี <<<< อนาถจิต
จังหวัดเราเอง ชั่วร้ายมาก

แก้ไขล่าสุด 16 ต.ค. 52 22:36 | ไอพี: ไม่แสดง

#36 | <ESJ>kt.I'mE.L.F=Cas (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 22:50 น.

เขาเล่ากันว่าคุณนวลฉวีเธอเป็นคนที่สวยมากนี่คะ
อย่าลบน้า
ขอบคุณมากๆนะคะ





(จะเป็นอะไรมั้ยคะถ้าเราจะขอส่งให้เพื่อนๆอ่านจะได้มั้ยคะ)

ไอพี: ไม่แสดง

#37 | [ESV]-Bkyuorn (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 22:52 น.

เปนบทเรียนสอนเราได้ดีเลยอ่ะ

น่าสงสารเขานะ

ไอพี: ไม่แสดง

#38 | Story.- | 16 ต.ค. 52 23:01 น.

แปะๆ มาอ่านต่อ เยอะมากมาย
คดีแรก สงสารน้องอิงอิงอ่ะ
อิชั้นยังไม่เกิดเลยนะตอนนั้น

ไอพี: ไม่แสดง

#39 | รักชาย~ตระกูลปาร์ค_* | 16 ต.ค. 52 23:02 น.

นวลฉวี...

แถวบ้านเราเองแหละ
 

ไอพี: ไม่แสดง

#40 | [ESV]Ney__KangTeuk (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 23:18 น.

แปะไว้ก่อนไม่กล้าอ่านตอนนี้
อย่าพึ่งลบนะ

ไอพี: ไม่แสดง

#41 | sctz.romeo (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 23:24 น.

น่ากลัวอ่ะ TOT

ไอพี: ไม่แสดง

#43 | AKaNiSHi_13 (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ต.ค. 52 23:39 น.

อยากอ่านอีกนะ แต่ว่า........

กลัวอ่า ๆๆ จขกท. ไปซื้อหนังสือที่ไหน ชื่ออะไรบ้าง

จะได้ไปซื้อมาอ่านบ้าง 555+<< ไหนบอกว่ากลัว 55+

ไอพี: ไม่แสดง

#44 | [Cmb;]I'm__YUPPY (ไม่เป็นสมาชิก) | 17 ต.ค. 52 00:04 น.

:  เค้าสยองงงง  TT'

ไอพี: ไม่แสดง

#45 | นางเอกของปาร์คยูชอน (ไม่เป็นสมาชิก) | 17 ต.ค. 52 00:20 น.

เราอ่านตอนดึกๆเเล้วกลัวอ่ะ TT TT

เเต่ก็อ่านจนจบเเล้ว -  -*

ไอพี: ไม่แสดง

#46 | `น้องจคยพี่อฮจ; | 17 ต.ค. 52 00:25 น.

แปะไว้ก่อน

ไอพี: ไม่แสดง

#47 | `Dsc. | 17 ต.ค. 52 00:43 น.

จขกท.
ผมหลอนนะ แต่ผมไม่แสดงออก 

ไอพี: ไม่แสดง

#48 | 852# | 17 ต.ค. 52 14:08 น.

คดี นี้ มี มานาน มาก อ้ะ

เราพึ่ง เกิด ได้ ปีเดียวเอง รู้สึกว่า  จะเป็นคดีที่ เกือบ จะปิดตาย

แต่สุดท้าย อย่างที่เห็นๆ มันเป็น คดีฉาว ที่ไม่น่าจะเกิด


น่า กลัวน้ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#49 | Eun-hyukz♥Lover (ไม่เป็นสมาชิก) | 18 ต.ค. 52 00:56 น.

แปะ



เด๋วมาอ่านนนนน

ไอพี: ไม่แสดง

#50 | T_T1000 | 21 ต.ค. 52 15:29 น.

แต่ละคดี น่ากลัวมากๆ

ขอบพระคูณค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google