(( กระดาษโน๊ต วิตามินต่างๆนานา)) ; ขอแปะกันลืมเฉยๆ

14 พ.ย. 55 18:35 น. / ดู 1,266 ครั้ง / 5 ความเห็น / 7 ชอบจัง / แชร์
--------- ความรู้ -_-


วิตามินที่ควรทานคู่กัน
- แคลเซียม+ แมกนีเซียม  
  แคลเซียม + แมกนีเซียม    แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี  “ตัวช่วย” พามันเข้าไป ได้แก่ แมกนีเซียม, วิตามินดี และ วิตามินเค
ของวิต้าเฮลท์ มีแคลเซีย 600mg แม็กนีเซียม 60 g  + วิตามิน D 200 หน่วยสากล ตัวนี้เยอะสุด
แบล็กมอร์ มีแคลเซียม 500 วิตดี 200 หน่วยสากล (เท่าวิตาเฮลท์แต่ไม่มีแม็กนีเซียม)
ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวัน
 วัยรุ่น (11-25 ปี) ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
 ผู้ใหญ่ ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน


----------------
- คอลลาเจน +วิตามินซี    (กินพร้อมกันดีสุด ไม่งั้นคอลลาเจนไม่เกิดประโยชน์)
- ธาตุเหล็ก +วิตามินซี          การจะกินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกินคู่กันกับวิตามินซี
- น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอ + อีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่าดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่า
บำรุงสมอง DHA
บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก EPA

ยาและอาหารเสริมที่กินร่วมกันแล้วก่อให้เกิดโทษ
- น้ำมันปลา+ แอสไพริน  จะทำให้เลือดไหลออกไม่หยุด -[]-
- วิตามินอี และ อีฟนิ่งพริมโรส  อันตรายกะหัวใจ </3
- แคลเซียม และ แคลเซียมสด :  ถ้ากินแคลเฐียมเม็ดแล้วห้ามกินแคลเซียมสดๆ พวกงาดำ เต้าหูขาวแข็ง ไรงี้ - - ไม่งั้นมันจะเยอะไปทำให้ " หลอดเลือดตีบหรือแช็ง" T_T
- กาแฟ และ แคลเซียม : กาแฟไปยับยั้งการดูดซึม + ไปดูดเอาจากกระดูกออกมาอีก - -+++
- ธาตุเหล็ก และ เลือดจางธาลัสซีเมีย : มีผลต่อหัวใจ TT ไม่น่าเกิดมาเป็นโรคนี้เลยยยย
- Calcium ไม่ควรทานเหล็กและแคลเซียมพร้อมกัน หรือหากได้รับสังกะสีมากไปจะทำให้การดูดซึมไม่ดี

- หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง



---------
-
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

วิตามิน A
พบใน น้ำมันตับปลา ผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรู้ท
ประโยชน์
- ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน
- ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
- สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
- ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
- ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำ และจุดวัยสูงอายุ
- ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายควรกินอาหารที่มีวิตามิน A 1,000 R.E. หรือเท่ากับ 5,000 I.U. ต่อวัน
- ผู้หญิงควรกินอาหารให้ได้วิตามิน A 800 R.E. หรือ 4,000 I.U. ต่อวัน
- หากกำลังตั้งครรภ์ควรกินเพิ่มเป็น 1,000 R.E. หรือ 5,000 I.U. ต่อวัน
- สำหรับการกินวิตามิน A เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 10,000 I.U.

วิตามิน C
ประโยชน์
- เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
- ช่วยแผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
- ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (MUTATION)
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย (SIDS) ในกรณีเด็กอ่อน
- ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
- ช่วยคลายเครียด

ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน C ควรกิน เสริม วันละ 1,000 mg


วิตามิน D
พบมาก ในเนย นม เนยแข็ง และในแดด ดังนั้น เราจึงควรตากแดดวันละ 2-3 ชั่วโมง
ประโยชน์
- ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน และช่วยรักษาสิว ทั้งนี้หากกินร่วมกับวิตามิน B6 ในขนาดสูงๆ จะช่วยรักษาข้ออักสบ และโรคเรื้อนกวาง (สะเก็ดเงิน) ได้
ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน D เสริม วันละ 1,000 I.U


วิตามิน E
ประโยชน์
- หน้าที่สำคัญที่สุดของวิตามิน E เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ (OXIDATION) โดยมีตัวออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยลอความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ผิวหนังสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และไม่อ่อนเพลียง่าย

ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน E เสริม ขนาดเม็ดละ 400 I.U. วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น
- ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ในบางราย วิธีแก้อาการดังกล่าวคือ ควรกินในปริมาณ 100 I.U. ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณเป็น 200 I.U. และ 400 I.U. ตามลำดับ *****
- หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง


วิตามิน B

วิตามิน B1 หรือ Thiamin
ประโยชน์
- จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจ และกล้ามเนื้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาคลื่น และเมาอากาศ
- ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัด (Herpes Zoster) ให้หายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ
- ถ้าต้องการกินวิตามินชนิดนี้เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 1 เม็ดหลังอาหาร เม็ดละ 100 mg
- หากเกิดอาการเครียด ตื่นเต้น เจ็บป่วยโดยเฉพาะหลังผ่าตัด ควรกินวิตามิน B1 ร่วมกับวิตามิน B Complex (วิตามินบีรวม)
- คนที่ควรกินวิตามิน B1 เสริม คือ
- คนที่ชอบกินของหวานๆ กับแป้งขาวมากๆ หรือสูบบุหรี่ และดื่มเหล้าจัด ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคขาดวิตามิน B1 ได้
- คนที่กินยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ เพราะยาลดกรดจะทำลายวิตามิน B1 ในอาหารให้เหลือน้อยลง
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ


วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine

ประโยชน์
- ช่วยเปลี่ยนแอมิโนแอซิดให้เป็นวิตามินอีกตัวคือ Niacin หรือวิตามิน B3 ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตให้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และแร่ธาตุแมกนีเซียม
- ช่วยบรรเทาโรคเกิดระบบประสาทและผิวหนัง
- ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้ และอาเจียน
- ช่วยบรรเทาอาการปากแห้ง และคอแห้ง
- ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชา และช่วยขับปัสสาวะ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดควรกินวิตามิน B6 เป็นประจำ
- ผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าต้องใช้อินซูลิน ควรกินวิตามิน B6 ควบ และปรับอัตราการใช้อินซูลินให้ได้ตามส่วนของน้ำตาลในเลือด


วิตามิน B12 หรือ Cobalamin

ประโยชน์
- ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
- ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
- ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดี และมีสมาธิ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้หญิงที่อ่อนเพลียเพราะประจำเดือนมามาก ควรกินวิตามิน B12 เสริม
- ผู้ที่เป็นมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด ก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเช่นกัน
- ผู้ที่ติดเหล้าหรือดื่มจัดก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเป็นประจำ


วิตามิน B3 หรือ Niacin

ประโยชน์
- ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด
- รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
- ช่วยอาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้น
- ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
- ช่วยบรรเทาโรคอาไทรทิสและข้ออักเสบ
- ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทาง**
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง

ปริมาณที่แนะนำ
- สามารถกินวิตามิน B3 เสริมได้ตั้งแต่ 100 - 2,000 mg ต่อวัน
- สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจควรใช้ในปริมาณที่สูงถึงวันละ 7,000-8,000 mg


วิตามิน B5 หรือ Pantoyhenic Acid

ประโยชน์
- ช่วยสร้างแอนติบอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของ Immune System หรือภูมิชีวิต
- เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินB5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
- ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่
- ช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน B5 ควรกินเสริมวันละ 2 เม็ด เม็ดละ 100 mg


วิตามิน B Complex
ประโยชน์
- ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นก ลูโคส ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
- ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ
- ในกลุ่มชีวจิตเราเชื่อว่าเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป การดูดซึมของลำไส้จะทรุดโทรมลง ต้องแก้ไขด้วยการบริหารร่างกายและใช้วิตามินกลุ่ม B Complex

ปริมาณที่แนะนำ
- ตามปกติผู้ที่กินอาหารตามสูตรของชีวจิต จะได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้เพียงพอ
- ถ้าเป็นอาหาร วันหนึ่งๆ เรามีวิตามิน 2 ชนิดนี้รวมกันวันละ 300-400 mg ก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าใช้เป็นยาต้องใช้ถึงวันละ 3,000-5,000 mg


----------------

VITAMIN
AMINO ACID
Glutathione สารองค์ประกอบพื้นฐานเพื่อให้ร่างกายสร้างกลูต้าไธโอน ได้แก่ Glycine, Glutamine (ทั้งสองชนิดมีพอในร่างกาย) และ Cystein ซึ่งร่างกายมีปริมาณจำกัด ควรได้รับเสริม
สารอาหารที่ร่างกายนำไปสร้างกลูต้าไธโอน ได้แก่ ซีลีเนียม, วิตามินบี 6, ไนอาซิน และ เอ็น อเซติล แอล ซิสเตอีน นอกจากนี้ กรด Alpha-lopoic acid และ Vitamin C ช่วยสร้างกลูต้าไธโอนขึ้นมาใหม่ด้วย
Cysteine และ Cystine ใช้ L-Cystine หรือ N-acethl-cystein ทดแทนได้ ปริมาณ 50-75 mg.
Alpha-lipoic acid, ALA 20-50 mg.

MINERALS
Selenium มีความจำเป็นในการผลิตกลูต่้าไธโอน 200-700 mcg.
Zinc ช่วยเพิ่ม T-lymphocite 15-30 mg.
Copper 1-3 mg.
Calcium ไม่ควรทานเหล็กและแคลเซียมพร้อมกัน หรือหากได้รับสังกะสีมากไปจะทำให้การดูดซึมไม่ดี 500 mg. 2 ครั้งต่อวัน (800-1,500 mg.)
Iron หากไม่ได้เป็นโรคโลหิตจาง ไม่ควรทานเหล็กเสริม
Magnesium 500-800 mg.
Manganese 3-6 mg.
Phosphorus ไม่จำเป็นต้องได้รับเสริม เพราะจะรบกวนการดูดซึมของแคลเซียม
Potassium ไม่จำเป็นต้องได้รับเสริม
Sodium ไม่จำเป็นต้องได้รับเสริม

BIOFLAVONIOD
Oligomerric Proanthocyanidins คือ
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 150-200 mg.
สารสกัดจากเปลือกสน 50-100 mg.


สารอาหารที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ โปรตีน อาร์จินีน กลูตามีน, กรดไขมันโอเมก้า 3, 6 ซีลีเนียม แมกนีเซียม ไอโอดีน โบรอน วิตามิน อี บี ซี และ เอ
แก้ไขล่าสุด 16 ก.ค. 56 17:24 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | Pandaprang-0- | 14 พ.ย. 55 19:26 น.

ขอบคุณค่ะเป็นประโยชน์มากๆเลย

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | littletwin;') | 14 พ.ย. 55 19:45 น.

เเปปปปปปปปปะะะะะะะะะ

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | nanmin95 | 16 พ.ย. 55 16:38 น.

ได้สาระมากเลยค่ะ อย่างน้อยทำไว้อ่านเอง ก็ขอบคุณที่เอามาแปะที่นี่ 

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | :-la$t/?` | 18 พ.ย. 55 12:06 น.

แปะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | สเกเห้ | 28 ธ.ค. 55 06:35 น.

แปะๆๆๆ ขอบคุณครา้บ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google