10 ตำนานน่ากลัวในนิยายที่กลายเป็นเรื่องจริงซะงั้น!??[P.2][กระทู้นี้ก็ยาวมาก]
The Hills Have Eyes (1977) เป็นภาพยนตร์คลาสสิกของผู้กำกับเวส คราเว่น ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์กินคนในถ้ำกลางทะเลทรายที่ดักล่าคน ที่ขับรถไปตามท้องถนน ด้วยเนื้อหาดิบ และเ***้ยมโหดระทึกขวัญ และการเอาตัวรอด ส่งผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดังในเวลาต่อมา จนถูกนำมาสร้างใหม่ในปี 2006 เพียงแต่เป็นเนื้อหาแตกต่างจากต้นฉบับเล็กน้อย
เรื่อง ราวของซอว์นี่ บีนปรากฏอยู่ในบันทึกนิวเกตส์ เขียนไว้ว่า ซอว์นี่ บีน มีชื่อเต็มว่า อเล็กซานเดอร์ ซอวี่นี เกิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 15-16 ที่เมืองอีสต์ โลเธี่ยน ประเทศสก็อตแลนด์ บิดาเป็นช่างสารพัดและคนขุดคลอง โดยซอว์นี่ บีน เป็นคนขี้เกียจอย่างบรม สมองทึบ นิสัยป่าเถื่อนโมโหร้าย เขาออก อก จากบ้านและแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนิสัยชั่วร้ายเหมือนกับเขา ทั้งคู่ออกเดินทางเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ จนกระทั้งมาหยุดลงที่ถ้ำลึกที่ชื่อบันนาน่าถ้ำชายฝั่งในกัลป์โลเวอร์ (ปัจจุบันคือไอร์ไชร์ใต้) และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นที่พักถวาร พวกเขาหาเลี้ยงชีพด้วนยการปล้นฆ่านักเดินทางที่ผ่านไปผ่านมาในบริเวณแถวนั้น ตอนกลางคืน พวกเขาสืบลูกสืบหลานแบบร่วมประเพณีระหว่างพี่น้อง (ซอว์นี่ บีนมีลูกชาย 8 คน ลูกสาว 6 คน) ทำให้เกิดเด็กลูกหลานที่มีสติไม่สมประกอบพิกลพิการถือกำเนิดขึ้นเป็นจำนวน มาก สภาพบ้านเริ่มแออัด พร้อมกับความต้องการอาหารที่มีมากขึ้น แต่อาหารที่ได้จากการฆ่านักเดินทางนั้นมีน้อยไม่พอในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ของครอบครัว ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องแก้ปัญหานี้โดยการกินเนื้อคนที่ได้จากการฆ่าเพื่อ เป็นอาหาร พวกเขาทำแบบ ต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนานถึง 25 ปี เขามีลูกชาย 8 คน ลูกสาว 6 คน หลานชาย 18 คน และหลานสาว 14 คน ผลสุดท้าย ซอว์นี่ บีนและครอบครัวถูกพิพากษาประหารชีวิต โดยให้พวกผู้ชายต้องถูกหั่นร่าง ส่วนพวกผู้หญิงและเด็กให้ถูกเผาทั้งเป็น
เรื่อง ราวของซอว์นี่ บีนนั้นปรากฏอยู่ในตำนานของสกอตแลนด์ และยังเป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในปี 2005 มีบทความของนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งเขียนว่าเรื่องราวของตระกูลบีนอาจไม่ ใช่เรื่องจริง อาจเป็นเรื่องสมมุติแต่งขึ้นให้คนสมัยนั้นหวาดกลัว ที่สมัยนั้นประชาชนไม่ค่อยเคารพกฎหมาย
The Exorcism
พิธีไล่ผี, เด็กสาวที่ถูกปีศาจสิงแล้วทำตาและพฤติกรรมน่ากลัว,ใช้ภาษาหยาบคาย, การอาเจียนรดพวกพระ และอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆในการไล่ผี, แนวความคิดถูกนำไปสร้างภาพยนตร์และนิยายมากมาย และที่ดังที่สุดคือ The Exorcism of Emily Rose และ Requiem
ซึ่งหนังนี้มาจากเรื่องจริงเสียด้วยสิ!!
เหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ในปี 1968 หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนี นางสาวอันเนลีส มิเชล(Anneliese Michel) อายุ 16 ปี จู่ๆ ก็เกิดอาการประหลาดน่ากลัวเกิดขึ้น เธอเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ทำร้ายตัวเอง(เธอวิ่งชนกำแพงฟาดหน้าจน ฟัน คาง กราม และจมูกหัก เบ้าตาอักเสบ) เอาแต่นับเลขพึมพำไม่เป็นภาษา พูดจารุนแรงและหยาบคาย แสดงอาการลุกลี้ลุกลนทำร้ายกัดคนในครอบครัว ทำลายข้าวของ ฉีกเสื้อผ้าและฉี่ลงบนที่นอนและลงไปนอนทับ ครอบครัว เธอไม่กินอาหาร แต่หันไปกินแมลงวัน แมงมุม ถ่านไม้ ดื่มปัสสาวะตัวเองแทนน้ำสะอาด(เธอปัสสาวะลงบนพื้น) แทะทึ้งซากนกจนหัวมันหลุดจากร่าง ฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองเป็นว่าเล่น เธอ เคยคลานอยู่ใต้โต๊ะแล้วเห่าหอนอยู่สองวันเต็ม กรีดร้องไม่รู้จักเหนื่อยนานนับชั่วโมง ร้องไห้ กลายเป็นเรื่องปกติร่างกายเธอทรุดโทรมลงมาก หัวเข่าเธอแตกอันเนื่องมาจากการคุกเข่าถึง 600 ครั้ง เธอได้พบภาพหลอนเกี่ยวกับภูตผีปิศาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พ่อแม่พาตัวเธอไปรักษา แต่ก็รักษาไม่หาย จนทั้งสองคิดว่าเธอถูกปีศาจสิง เลยไปขอร้องบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ (Ernst Alt) กับหลวงพ่อโจเซฟ เรนซ์ (Arnold Renz) มาทำพิธีไล่ผี
ว่ากันว่าขณะที่ทำพิธีไล่ผี อันเนลีสดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด เรี่ยวแรงของเธอจู่ๆก็มหาศาลถึงขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงกำยำ 3 คน ช่วยกันจับจึงจะเอาอยู่ และบางครั้งถึงต้องเอาโซ่ล่ามเธอไว้ เพราะเธอกระโดดสูงจากพื้นได้เป็นเมตร พิธีไล่ผีเริ่มเข้มข้น แต่ร่างกายของอันเนลีสก็อ่อนแอลงเพราะขาดน้ำและอาหาร พ่อและแม่ของเธอถึงกับต้องเข้ามาช่วยพยุง เพราะเธอไม่ไม่มีแรงจะเดิน และเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1976
เล่ากันว่า ประโยคสุดท้ายที่อันเนลีสพูดกับแม่ของเธอในคืนก่อนหน้านั้น ก็คือ ว่า
"แม่...หนูกลัว (Mother I'm very scared)
เรื่อง ประหลาดหลังจากเธอตาย ก็ตามมาอีกเป็นระยะไล่ตั้งแต่โลงศพอันเนลีสมีรูปมือปิศาจเกาะอยู่ และท้องฟ้าในขณะทำพิธีฝังศพก็ปรากฏหน้าของปีศาจที่แสนน่ากลัวฯลฯ
Witches
ต้อง ขอบคุณอินเตอร์เน็ต ที่กลายเป็นที่หลบภัยแก่สมาคมคนชื่นชอบเวทมนต์ ที่สามารถพ้นจากพวกรังเกียจพ่อมดหมอผี ซึ่งตั้งแต่ไหนแต่ใดมากคนอื่นๆ มักโทษพวกผู้หญิงแก่ที่น่าสงสารว่าพวกเธอเป็นแม่มดโดยปราศจากหลักฐาน และมักลงโทษพวกเธอด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ เช่นเอาก้อนหินปา,ถ่วงน้ำ,จุดไฟเผา และเนรเทศไปอยู่อเมริกาหรือออสเตเลียซะ
เรื่องของแม่มดนี้เยอะดีเนอะ มีหลายเรื่องที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง ก็ขอยกแม่มดมาซะคนละกัน
มาเธอร์ ชิปตัน (Mother Shipton หรือ Ursula Southeil) (c. 1488 - 1561) เป็นแม่มดนักทำนายชาวอังกฤษ เธอเกิดก่อนนอสตราดามุสเสียอีก(สัก 15 ปี) รูปร่างใหญ่โตกว่าคนธรรมดา หลังค่อม หน้าตาน่ากลัว และเธอถูกเผาตายเพราะถูกกล่าวหาว่าแม่มดที่รู้อนาคตแย่ๆ ให้แก่อังกฤษ(บางอันก็ดีนะ)
คำพยากรณ์ของเธอตรงไปตรงมายิ่งกว่านอตดามุสเสียอีก เหตุการณ์สำคัญที่เธอทำนายและถูกก็เช่น การเผาไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน, กองเรือสเปนที่อ่าวอามาด้า, โรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ในกรุงลอนดอน นอกจากนี้ยังทำนายเรื่องรอบโลก เช่น ทวีปอเมริกา, เครื่องจักรไอน้ำ, รถยนต์ เครื่องบิน, เรือดำน้ำ ซึ่งคำทำนายเหล่านั้นถูกนำมาพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1797 (สามารถอ่านคำทำนายของเธอจากเว็บข้างต้น)
และแน่นอนคำทำนายเรื่องโลกแตกของเธอก็มีเช่นกัน ดั่งเช่นตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า
The dragons tail is but a sign (หางมังกรเป็นสัญญาณ)
For mankinds fall and man's decline. (การล่มสลายของมนุษย์ชาติ และการเสื่อมถอยของคน)
And before this prophecy is done (และก่อนทำนายนี้จะจบลง)
I shall be burned at the stake, at one (ฉันคงถูกเผาที่ลานประหาร)
My body singed and my soul set free (ร่างกายของฉันไหม้เกรียม ร่างกายของฉันถูกปลดปล่อย)
You think I utter blasphemy (คุณคิดว่าฉันสบประมาท(ดูถูกพระเจ้า)หรือ)
You're wrong. These things have come to me (คุณคิดผิดแล้วละ เพราะสิ่งเหล่านั้นได้ปรากฏแก่ฉัน)
This prophecy will come to be. (คำทำนายนี้จะเป็นจริงในที่สุด)
(หมายถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 นะ ครับ ต้องเอาหลายๆ บทมาประกอบกัน แต่นี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งส่วนต่อกันก็มีประเทศมหาอำนาจสู้กัน การมาถึงของมนุษย์ต่างดาว ภัยพิบัติ ฯลฯ และเธอเขียนคำทำนายนี้ขึ้นก่อนโดนประหารโดยการเผาในอีกหลายปีต่อมา)
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
Alien
คุณเคยเห็นนิยายหรือภาพยนตร์ประเภทเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์แล้วแต่งงานกันใช่เปล่าครับ
อัตโตนีโอ วิลลาส โบแอส (Antonio Villas Boas 1934-1992) เป็นชาวนาบราซิลใน หมู่บ้านฟรานซินโก เด เซเลา ในเมืองเซาเปาโล และเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว ในปี 1957 ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเรื่องที่เขาอ้างนั้นบอกว่าเขา**ต์กับมนุษย์ต่างดาว(โอ้!!)
ใน ตอนนั้นอัตโตนีโออายุ 23 ปี ความจริงแล้วเขาพบจานบินหลายครั้งก่อนหน้าลักพาตัว เมื่อมีแสงผ่านตัวเขาและน้องชายหลายครั้ง จนกระทั้งเขาถูกลักพาตัวเมื่อ 16 ตุลาคม 1957 ตอนนั้นเขากำลังพรวนดินด้วยรถแทร็คเตอร์อยู่คนเดียวในตอนกลางคืนตีหนึ่ง (เนื่องจากวันนั้นอากาศร้อนมากๆ เขาเลยมาทำตอนกลางคืน) ทันใดนั้นเขาได้เห็นแสงสีแดงที่ตอนแรกเป็นดวงเล็กๆ ไกลออกไป แต่มันก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมันมุ่งหน้ามาหาเขาเขาพบว่ามันเป็นวัตถุบินได้รูปไข่สองแสงสว่างมาก เขาพยายามหนี แต่เครื่องยนต์กลับดับลงกะทันหัน เขาเลยกระโดดรถวิ่งหนี แต่กลับโดนสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์สูงประมาณ 1.5 เมตร(5 ฟุต) สวมชุดคับๆ สีเทาสวมหมวกกันน็อตเชื่อมติดกันหมวกเกราะ โดยมีท่อสีน้ำเงินสามท่อแต่ละชุด มีเกราะสีแดงขนาดผลสับปะรดบนหน้าอก ตามีขนาดเล็กและสีฟ้า และพูดเหมือนตระโกน พวกมันมากันสามคนและจับเขาขึ้นไปบนยาน เขาถูกพาไปยังห้องหนึ่ง พวกมันถอดเสื้อผ้าและเช็ดตัวเขา นอกจากนั้นยังเอาเลือดจากคางของเขาไปด้วย หลังจากนั้นเขาก็พาไปห้องที่สามและเหลือตัวคนเดียวประมาณครึ่งชั่วโมง ในช่วงเวลานั้นมีก๊าซหนึ่งถูกสูบเข้ามาในห้องทำให้เขาล้มป่วยอย่างรุนแรง
หลัง จากนั้นไม่นานเขาได้อ้างว่ามีผู้หญิงเปลือยสวยคนหนึ่งเข้ามาในห้องของเขา เธอมีดวงตาเฉียงโตสีฟ้า จมูกของเธอไม่โด่งหรือไม่ใหญ่เกินไป โครงหน้าของเธอโหนกแก้มสูงมากทำให้ใบหน้าเธอกว้างมาก(กว้างกว่าผู้หญิง อินเดียนของอเมริกาใต้)แต้ใต้นั้นใบหน้าของเธอแคบลงอย่างมาก และไปสิ้นสุดที่คางแหลมของเธอ ลักษณะเช่นนี้ทำให้หน้าครึ่งล่างเหมือนรูปสามเหลี่ยม ผมของเธอสีขาว(คล้ายทองคำขาวสีบลอนด์) โดยเขาเล่าว่าเขาถูกผู้หญิงคนนั้นดึงดูดให้มีเพศสัมพันธ์ โดยระหว่างทำกิจกรรมนั้น เขาเล่าว่าผู้หญิงไม่ได้จูบเขา เมื่อเสร็จกิจเธอก็ออกจากห้อง เธอได้ชี้ที่ท้องของเธอและที่ตัวของเขา และที่ท้องฟ้า และหลังจากนั้นเขาก็ก็ถูกนำตัวลงจากยาน และยานดังกล่าวก็หายวับบนท้องฟ้า
แน่ นอนหลายฝ่ายไม่เชื่อเรื่องอัตโตนีโอเล่าเพราะว่ามนุษย์ต่างดาวทำไมต้องทำแบบ นี้ด้วย ในเมื่อพวกเขามีวิทยาการชั้นสูง ทำไมมันถึงใช้วิธีโบราณอย่างจับมนุษย์มาทดลอง แต่กรณีของอัตโตนีโอนั้นถือได้ว่าเป็นการลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาวโดยมีสติ สัมปชัญญะสมบูรณ์ และเป็นคนไม่กี่คนบนโลกมนุษย์ที่**ต์กับมนุษย์ต่างดาว
ต่อ มาอัตโตนีโอได้กลายเป็นทนายความ แต่งงานและมีเด็กสี่คน เขาตายในปี 1992 แต่เรื่องราวของเขายังเป็นที่ถกเถียงทางลัทธิเชื่อยูเอฟโอต่อไป
Angel of Death
เรื่องนี้เป็นเรื่องสยองขวัญคลาสสิกของประเทศอังกฤษ ปี 1906 ที่ประสบการณ์ของลอร์ด ดัฟเฟอริน(Lord Dufferin 's Story) เป็นทูตชาวอังกฤษ โดยเหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อเขาพักในชนบทของสหายที่ไอร์แลนด์
คืน หนึ่ง ระหว่างที่พักอยู่ที่นั่น ท่านทูตรู้สึกกระสับกระส่ายผิดปกติจนไม่สามารถข่มตาหลับได้ ท่านลุกจากเตียง ตรงไปที่หน้าต่าง คืนนั้น ดวงจันทร์ส่องแสงสกาว สว่างราวกับสวนทั้งสวนอยู่ยามเช้า ขณะที่กำลังชมสวนอยู่นั้นเอง ท่านก็มองเห็นชายคนหนึ่งแบกหิบยาวเดินมา ร่างที่เงียบกริบส่อลางร้ายนั้นค่อยๆ เดินตัดสนามหญ้าสกาวในสวน เมื่อผ่านบานหน้าต่างที่ลอร์ด ดัฟเฟอรินยืนอยู่ ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องสบดวงตาท่านทูต ท่านลอร์ดสะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของชายคนนั้นน่าเกลียดน่ากลัวเกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย เขาจ้องมองท่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แบกหนียาวเดินลับหายไปในเงามืด ท่านทูตมองเห็นชัดเชนว่าสิ่งที่วางอยู่บนหลังของเขานั่นคือโลงศพ(บางตำนาน ปรากฏว่าเป็นรถม้าแบกโลง)
เช้า วันรุ่งขึ้นลอร์ด ดัฟเฟอรินเที่ยวถามเจ้าของบ้านและแขกคนอื่นๆ ถึงชายลึกลับในสวน แต่ไม่มีใครทราบเรื่องของเขา ทุกคนหัวเราะและบอกว่าท่านคงฝันร้าย แต่ท่านทูตรู้ดีว่าไม่ใช่แน่นอน
หลาย ปีหลังจากนั้นลอร์ด ดัฟเฟอรินเป็นแขกของอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำปารีส ท่านกำลังจะไปงานเลี้ยงรุ่นที่นั่น ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์นั้นเอง(ลิฟต์เป็นของใหม่ในสมัยนั้น) ลอร์ดก็เกิดความรู้สึกลี้ลับบางอย่างทำให้ท่านหันไปมองพนักงานประจำลิฟต์ ความตื่นตระหนกแล่นมาจับที่ขั้วหัวใจ เขาคือชายคนเดียว(หรือหน้าเหมือน)กับคนที่แบกหิบในสวนกลางแสงจันทร์คืนนั้น ท่านลอร์ดชะงักอยู่หน้าลิฟต์อย่างไม่ตั้งใจ ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง และเพียงสองสามนาทีหลังจากท่านลอร์ดยืนตะลึงอยู่นั้น เสียงโรงก้องกัมปนาทก็ดังขึ้น ท่านลอร์ดสะดุ้งสุดตัว สายเคเบิลขาด ลิฟต์ร่วงลงไปกระแทกกับพื้นขากชั้นสาม
ผู้ โดยสารหลายคนเสียชีวิตอย่างน่าอนาจ รวมทั้งพนักงานกดลิฟต์ผู้ลึกลับ ขากการสอบสวนพบว่า พนักงานผู้นั้นเป็นลูกจ้างชั่วคราวและเพิ่งมาทำงานวันแรก ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน...?
(c)http://atcloud.com
The Exorcism มีเป็นหนังด้วยนี่ .. ผีเรื่องนี้รู้สึกเจอบ่อย กดเข้าลิ้งค์ดักแล้วมันกรี๊ดใส่
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ เอามาลงอีกนะ ชอบบบบบ
The Exorcism เรื่องนี้เราเคยดูนะ หนังนานมากแล้ว หมอผีเอ็กซ์เซอร์ซิส เด็กผู้หญิงคนนั้นตอนโดนทำพิธีไล่ผี จะอ้วกออกมาเป็นสีเขียวๆอ่ะ
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google