10 ตำนานเรื่องเล่าของหัวลุกที่กลายเป็นเรื่องจริงซะงั้น!?? [P.1][ยาวนะ]
20 เม.ย. 56 19:37 น. /
ดู 3,186 ครั้ง /
20 ความเห็น /
15 ชอบจัง
/
แชร์
The Clown Statue / The Clown Doll
ชาวอเมริกันบางคนกลัวตัวตลกครับ(จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ประหลาดทำร้ายคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวมันอีก
โดยเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีในห้อง อยู่นั้นก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง(บางที่ก็บอกพี่เลี้ยงเด็ก) พ่อแม่เด็กถามเด็กว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก(ตุ๊กตาตัวตลก)ในห้องของผมทีครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ
เมื่อพ่อแม่ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้นนั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันทีและผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวกเขา แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัดไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของสตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen King's It (1990) หรือเรื่อง Killer Klowns(1988), Clownhouse(1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น
และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น? ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าคนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัวเป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง(และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี(John Wayne Gacy 1942 ~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า ฆาตกรตัวตลก เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด
The Living Severed Head
เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!
และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม
เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยตินหรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์(Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต(Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูดคำว่า ไม่ได้(couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่
ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที
แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว
แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า
"หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย
Mummy Funhouse
ในระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านที่สิงนั้นทั้งสองได้เห็นมัมมี่สยองตัวหนึ่ง มันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังหรือกระดูกมนุษย์ มันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้อัด ระหว่างที่ทั้งสองสำรวจนั้นเองก็พบว่ามันคือของจริง!!
มันเป็นจริงซะงั้น!! คงจะเคยได้ยินมาบ้างใช้เปล่าครับที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และเรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด(เรื่อง The Six Million Dollar Man)ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง(Amusement Park in Long Beach) ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั้งลูกมืองกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดจากร่วงร่วงลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อน มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอมหากแต่มันเป็นของจริง!!
มัมมี่ตัวนั้นถูกส่งไปยังห้องชันสูตรของนครลอส แองเจลีส โดยมีนายแพทย์โธมัส โนกูชิ พนักงานชันสูตรทำการบอกเอาขี้ผึ้งซึ่งหุ้มไว้หลายชั้นออกก่อน จึงได้พบว่าข้างในนั้นเป็นร่างเ***่ยวๆ ของชายคนหนึ่งอายุอานาม 30 ปีเศษซึ่งเสียชีวิตมานานแล้วจากบาดแผลรอยกระสุนถูกยิง
จากการสอบถามพบว่ามัมมี่ตัวนี้คือ เอลเมอร์ แม๊กเคอร์ดี้ (Elmer McCurdy) อดีตวายร้ายชื่อกระฉ่อนแห่งโอ๊คคลาโฮม่า ที่เที่ยวออกอาละวาดปล้นรถไฟและธนาคารอยู่แถบโอ๊คลาโฮม่าสมัยที่ยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ก่อนที่จะจบชีวิตลงด้วยการถูกยิงตายในการดวลปืนหมู่เมื่อเดือนตุลาคม 1911
ทำไมศพวายร้ายเรร่อนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา ถึงต้องมีการดองเก็บไว้ไม่ให้เน่า ใครเป็นคนทำ และเพื่ออะไร คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากสันนิษฐานว่าสัปเหร่อคงมองเห็นช่องทางทำเงินให้กับเจา จึงเก็บมาดองแล้วตั้งไว้มุมห้องเก็บศพ ใครที่อยากเห็นวายร้ายตัวจริงๆ ก็ต้องจ่ายเงิน 1 นิคเกิ้ล หรือ 5 เซนต์ให้กับคนจัดงานคาร์นิวัลเร่ ซึ่งเขาขายต่อให้สวนสนุกอีกทอดหนึ่ง
การสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริงหรือนิยายก็ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ มัมมี่ตัวนั้นถูกยกให้พิพิธภัณฑ์โอ๊คลาโฮม่าเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1977 และเขาก็ไม่มีโอกาสโชว์ตัวอีกเลยเมื่อเขากลับบ้านเกิดที่โอ๊คลาโฮม่าแล้วถูกฝังลงในสุสานบู๊ตฮิลล์ในที่สุด
The Curiously Realistic Decoration
ในวันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคนฆ่าตัวตายของจริง!!
มันกลายเป็นจริงซะงั้น! วันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายในสวนสาธารณะในฟลอนิดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมงโดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายราย จนกระทั้งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า
ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ Mostafa Mahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย เพื่อนบ้านบอกว่าที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นและปล่อยศพทิ้งไว้เพราะนึกว่าเป็นของตกแต่งวันฮาโลวีน จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขาตายมานานสามวันโดยลูกกระสุนที่ยิงที่ตา
The Body in the Bed
มีชายหญิงคู่หนึ่งไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขขา ทั้งคู่เช่าโรงแรม และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้นแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องโรงแรมเต็มเพราะมีการประชุมครั้งใหญ่ไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นได้ เขาเลยเสนอชดเชยอาหารกลางวันโรงแรมฟรีและส่งแม่บ้านเพื่อมาทำความสะอาดห้องและพยายามกำจัดกลิ่น
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันทั้งคู่กลับมาที่ห้องนอนของตน พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้งและขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกลับการพนันเลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้ชัดการเลยส่งแม่บ้านมาอีกครั้งคราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทนและโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด
และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงเขากลับว่าข้างในนั้นมีศพผู้หญิงยัดอยู่!!
มันเป็นจริงซะงั้น!! เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วยนะครับ คงเคยได้ยินเรื่องผีช่องแอร์ใช่เปล่าครับ นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้างแต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ
และตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล(Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้นและบ่นว่าห้องมีกลิ่นหื่นจนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว
ที่แคสซัสซิตี้ 14 กรกฎาคม 2003 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกให้ไปสอบสวนกรณีมีการพบศพชายนิรนามถูกฆ่าและยัดใต้ที่นอนในโรงแรมท้องถิ่น ซึ่งศพนั้นถูกยัดทั้งอาทิตย์แต่ไม่มีใครสังเกต จนกระทั้งแขกที่เข้ามาพักในห้องทันไม่ไหวต่อกลิ่นจนกระทั้งเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดก็พบเรื่องน่ากลัว
วันที่ 15 มีนาคม 2010 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมนฟิสได้รับแจ้งว่ามีการพบศพที่ห้อง 222 ที่โรงแรม Budget lnn เป็นร่างกายของหญิงคนหนึ่งชื่อโซนี่ (Sony Millbrook) ที่พบภายในเตียงสปริง โดยฆาตกรได้ฆ่าเธอและยัดใส่เตียงสปริงเพื่ออำพรางคดี จากการสอบสวนพบว่าศพดังกล่าวอยู่ในห้องมานานโดยมีห้องเช่าที่มีศพในเตียงนั้นถึง 5 รายและทำความสะอาดหลายครั้ง โดยไม่เอะใจเลยว่าในเตียงสปริงมีศพอยู่
หรือจะเอาประเทศไทย ก็มีข่าวทำนองนี้มากมาย (ลองพิมพ์คำว่า ยัดศพใต้เตียง ที่กูเกิ้ลละกัน)
โดยเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีในห้อง อยู่นั้นก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง(บางที่ก็บอกพี่เลี้ยงเด็ก) พ่อแม่เด็กถามเด็กว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก(ตุ๊กตาตัวตลก)ในห้องของผมทีครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ
เมื่อพ่อแม่ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้นนั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันทีและผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวกเขา แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัดไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของสตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen King's It (1990) หรือเรื่อง Killer Klowns(1988), Clownhouse(1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น
และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น? ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าคนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัวเป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง(และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี(John Wayne Gacy 1942 ~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า ฆาตกรตัวตลก เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด
The Living Severed Head
เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!
และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม
เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยตินหรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์(Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต(Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูดคำว่า ไม่ได้(couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่
ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที
แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว
แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า
"หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย
Mummy Funhouse
ในระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านที่สิงนั้นทั้งสองได้เห็นมัมมี่สยองตัวหนึ่ง มันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังหรือกระดูกมนุษย์ มันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้อัด ระหว่างที่ทั้งสองสำรวจนั้นเองก็พบว่ามันคือของจริง!!
มันเป็นจริงซะงั้น!! คงจะเคยได้ยินมาบ้างใช้เปล่าครับที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และเรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด(เรื่อง The Six Million Dollar Man)ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง(Amusement Park in Long Beach) ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั้งลูกมืองกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดจากร่วงร่วงลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อน มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอมหากแต่มันเป็นของจริง!!
มัมมี่ตัวนั้นถูกส่งไปยังห้องชันสูตรของนครลอส แองเจลีส โดยมีนายแพทย์โธมัส โนกูชิ พนักงานชันสูตรทำการบอกเอาขี้ผึ้งซึ่งหุ้มไว้หลายชั้นออกก่อน จึงได้พบว่าข้างในนั้นเป็นร่างเ***่ยวๆ ของชายคนหนึ่งอายุอานาม 30 ปีเศษซึ่งเสียชีวิตมานานแล้วจากบาดแผลรอยกระสุนถูกยิง
จากการสอบถามพบว่ามัมมี่ตัวนี้คือ เอลเมอร์ แม๊กเคอร์ดี้ (Elmer McCurdy) อดีตวายร้ายชื่อกระฉ่อนแห่งโอ๊คคลาโฮม่า ที่เที่ยวออกอาละวาดปล้นรถไฟและธนาคารอยู่แถบโอ๊คลาโฮม่าสมัยที่ยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ก่อนที่จะจบชีวิตลงด้วยการถูกยิงตายในการดวลปืนหมู่เมื่อเดือนตุลาคม 1911
ทำไมศพวายร้ายเรร่อนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา ถึงต้องมีการดองเก็บไว้ไม่ให้เน่า ใครเป็นคนทำ และเพื่ออะไร คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากสันนิษฐานว่าสัปเหร่อคงมองเห็นช่องทางทำเงินให้กับเจา จึงเก็บมาดองแล้วตั้งไว้มุมห้องเก็บศพ ใครที่อยากเห็นวายร้ายตัวจริงๆ ก็ต้องจ่ายเงิน 1 นิคเกิ้ล หรือ 5 เซนต์ให้กับคนจัดงานคาร์นิวัลเร่ ซึ่งเขาขายต่อให้สวนสนุกอีกทอดหนึ่ง
การสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริงหรือนิยายก็ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ มัมมี่ตัวนั้นถูกยกให้พิพิธภัณฑ์โอ๊คลาโฮม่าเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1977 และเขาก็ไม่มีโอกาสโชว์ตัวอีกเลยเมื่อเขากลับบ้านเกิดที่โอ๊คลาโฮม่าแล้วถูกฝังลงในสุสานบู๊ตฮิลล์ในที่สุด
The Curiously Realistic Decoration
ในวันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคนฆ่าตัวตายของจริง!!
มันกลายเป็นจริงซะงั้น! วันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายในสวนสาธารณะในฟลอนิดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมงโดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายราย จนกระทั้งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า
ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ Mostafa Mahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย เพื่อนบ้านบอกว่าที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นและปล่อยศพทิ้งไว้เพราะนึกว่าเป็นของตกแต่งวันฮาโลวีน จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขาตายมานานสามวันโดยลูกกระสุนที่ยิงที่ตา
The Body in the Bed
มีชายหญิงคู่หนึ่งไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขขา ทั้งคู่เช่าโรงแรม และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้นแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องโรงแรมเต็มเพราะมีการประชุมครั้งใหญ่ไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นได้ เขาเลยเสนอชดเชยอาหารกลางวันโรงแรมฟรีและส่งแม่บ้านเพื่อมาทำความสะอาดห้องและพยายามกำจัดกลิ่น
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันทั้งคู่กลับมาที่ห้องนอนของตน พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้งและขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกลับการพนันเลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้ชัดการเลยส่งแม่บ้านมาอีกครั้งคราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทนและโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด
และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงเขากลับว่าข้างในนั้นมีศพผู้หญิงยัดอยู่!!
มันเป็นจริงซะงั้น!! เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วยนะครับ คงเคยได้ยินเรื่องผีช่องแอร์ใช่เปล่าครับ นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้างแต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ
และตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล(Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้นและบ่นว่าห้องมีกลิ่นหื่นจนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว
ที่แคสซัสซิตี้ 14 กรกฎาคม 2003 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกให้ไปสอบสวนกรณีมีการพบศพชายนิรนามถูกฆ่าและยัดใต้ที่นอนในโรงแรมท้องถิ่น ซึ่งศพนั้นถูกยัดทั้งอาทิตย์แต่ไม่มีใครสังเกต จนกระทั้งแขกที่เข้ามาพักในห้องทันไม่ไหวต่อกลิ่นจนกระทั้งเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดก็พบเรื่องน่ากลัว
วันที่ 15 มีนาคม 2010 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมนฟิสได้รับแจ้งว่ามีการพบศพที่ห้อง 222 ที่โรงแรม Budget lnn เป็นร่างกายของหญิงคนหนึ่งชื่อโซนี่ (Sony Millbrook) ที่พบภายในเตียงสปริง โดยฆาตกรได้ฆ่าเธอและยัดใส่เตียงสปริงเพื่ออำพรางคดี จากการสอบสวนพบว่าศพดังกล่าวอยู่ในห้องมานานโดยมีห้องเช่าที่มีศพในเตียงนั้นถึง 5 รายและทำความสะอาดหลายครั้ง โดยไม่เอะใจเลยว่าในเตียงสปริงมีศพอยู่
หรือจะเอาประเทศไทย ก็มีข่าวทำนองนี้มากมาย (ลองพิมพ์คำว่า ยัดศพใต้เตียง ที่กูเกิ้ลละกัน)
แก้ไขล่าสุด 20 เม.ย. 56 19:40 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google