มีสาระ ; จิตวิทยา ' Self-Fulfilling Prophecy (คำทำนายที่เป็นจริง)
29 พ.ค. 56 06:27 น. /
ดู 11,873 ครั้ง /
9 ความเห็น /
24 ชอบจัง
/
แชร์
Self-Fulfilling Prophecy (คำทำนายที่เป็นจริง)
หมายถึงปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาเกี่ยวกับคำทำนายหรือสิ่งที่เราเชื่อนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเราอย่างมาก จนส่งผลให้ชีวิตเราเป็นไปอย่างที่เชื่อนั้น
ลองอ่านตัวอย่างต่อไปนี้ จะช่วยทำให้คุณเห็นภาพชัดขึ้น.. .
สมมติว่าคุณเชื่ออย่างแรงกล้าว่า หากคบกันแฟนมาครบ 7 ปี แล้วต้องเลิกกันแน่นอน(ตามความเชื่อเรื่อง "อาถรรพ์หมายเลข 7") จิตที่เชื่อในเรื่องนี้อย่างมากของคุณจะเกิดความกลัวและตระหนก เอาแต่คิดไปว่า ถึง 7 ปีแล้วนี่หนอ เลิกแน่เลยเรา ในที่สุดคุณก็จะมีพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดการเลิกกันในปีที่ 7 เป็นความจริงขึ้นมา ดังนั้น การที่เราเชื่อจนจิตชักนำชีวิตไปลงเอยแบบที่เราเชื่อนั่นแหล่ะ คือ "Self-Fulfilling Prophecy" ถ้าให้อธิบายให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจง่ายๆ ก็คือ "คิดมากจนทำตัวเองให้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ"
นักจิตวิทยาชาวตะวันตกเคยทำการทดลองเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาหลายครั้งครับ โดยครั้งที่โด่งดังที่สุดก็คือ การนำนักเรียนที่มีระดับสติปัญญาปานกลางเหมือนกันมาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม แล้วทำการทดลอง ดังนี้:
- กลุ่มแรก จะมีครูพูดย้ำเสมอว่า "พวกเธอเป็นเด็กฉลาดมากนะ ไอคิวอัจฉริยะทีเดียว ต่อไปภายภาคหน้าพวกเธอต้องมีอนาคตที่ดี" แล้วก็มีการสร้างสถานการณ์แวดล้อมให้เด็กๆ เชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกเขาเก่งจริงๆ
- เด็กกลุ่มที่สอง ครูก็พูดย้ำเหมือนกันครับ แต่จะย้ำทำนองว่า "พวกเธอก็แค่เด็กสมองขี้เลื่อย เรียนไม่เคยรู้เรื่อง ครูสอนอะไรไปก็ลืม ครูเป็นห่วงอนาคตของพวกเธอจริงๆ"
- เด็กกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มควบคุม คือ ได้รับการปฎิบัติแบบปกติ ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม
การทดลองดำเนินไป 1 ปีเต็ม จนในที่สุดก็สรุปการทดลองออกมาว่า เด็กกลุ่มแรกที่ได้รับคำบอกมาตลอดว่าเป็นเด็กเก่ง มีผลการเรียนดีขึ้นอย่างมาก ซ้ำยังตั้งใจเรียน ใฝ่หาความรู้สมดังคำนิยามของเด็กเรียนเก่งจริงๆ ส่วนเด็กกลุ่มที่ 2 มีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับกลุ่มแรกเลยครับ ทั้งไม่สนใจเรียน ผลการเรียนต่ำลง บางรายก็เป็นเด็กนิสัยเสียไปเลย ส่วนกลุ่มที่ 3 เป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชนิดที่ว่าเห็นได้ชัดเท่าสองกลุ่มแรก
มาลองคิดกันเล่นๆ นะครับว่า อะไรทำให้เด็กที่จริงๆ แล้วมีสติปัญญาพอๆ กัน กลับมีผลการเรียนแตกต่างกันขนาดนี้ ก็เพราะพวกเขาแต่ละคนเชื่อในสิ่งที่ครูบอกน่ะสิครับ
แสดงว่าสิ่งที่เขาเชื่อน่ะ มีผลโดยตรงต่อจิตใจของเขาเอง ที่ได้รับคำชมว่าเรียนเก่งก็เลยพลอยคิดว่าตัวเองเก่งจริง เด็กเลยเก่งขึ้น หนำซ้ำพฤติกรรมยังกลายเป็นเด็กขยันสมคำบอกอีกด้วย ส่วนพวกที่โดนแต่คำดุด่าหาว่าไม่ฉลาดก็เรียนไปพร้อมๆ กับความคิดว่าตัวเองนั้นมันมีไอคิวต่ำต้อย ด้อยปัญญา เรียนไปก็เท่านั้น จะเห็นได้ว่าความเชื่อที่เข้ามาอยู่ในสมองพวกเขานี่หล่ะครับที่ส่งผลให้เขาเป็นเช่นนั้น อย่างที่ฝรั่งเรียกกันว่า YOU ARE WHAT YOU THINK หรือแปลเป็นไทยคือ เราจะเป็นอย่างเช่นที่เราคิดไว้
อย่างกรณีอาถรรพ์หมายเลข 7 ที่ได้ยกตัวย่างไปในตอนต้นนั้น เหตุมันไม่ได้เกิดจากอาถรรพ์อะไรเลยครับ แต่เพราะเราเชื่อว่ามันจริง แล้วเราก็เริ่มที่จะกลัว พอเรากลัว เราก็จะเครียด วิตกกังวล หวาดระแวง ทีนี้ก็จะทำให้เราหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เมื่อแฟนทำอะไรไม่ถูกใจก็โกรธแรงกว่าปกติ เพราะจิตเรากำลังร้อนรนและคิดย้ำว่า นี่ไง อาถรรพ์หมายเลข 7 ส่อแววแล้ว ...ในตอนสุดท้าย สิ่งที่ไล่คนรักของเราไป ไม่ใช่ฤทธิ์เลข 7 หรอกครับ แต่เป็นเรื่องของจิตใจที่ดันไปเชื่อเรื่องราวใดๆ ที่ไม่เหมาะสมต่างหาก
รวมถึงการหลงเชื่อหมอดู หมอมด หมอผี แม้กระทั่งกรุปเลือดทายนิสัยอะไรเทือกนี้ ชีวิตบางคนอาจลงเหวก็เพราะงมงายมากเกินไปนี่แหล่ะ ขาดสติพิจารณา ไตร่ตรองว่าอันที่จริง "ชีวิตเราเป็นของเรา" ครับ ไม่ได้มีใครกำหนดหรือล่วงรู้ว่าเราจะต้องไปทางไหน เราทุกคนเป็นปัจเจกบุคคล มีความแตกต่างกัน ขนาดเกิดมาจากท้องแม่เดียวกันยังมีนิสัย ความคิด ความชอบ ที่ไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นสุภาษิตโบราณที่ว่า 'ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน' ก็ยังเป็นสุภาษิตเตือนใจที่ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
สรุปแล้ว คำทำนายจะช่วยให้ชีวิตคุณลงตัวหรือลงเหวย่อมอยู่ที่คุณครับ ว่าคุณจะใส่ความเชื่ออะไรลงไปให้ตัวเอง หากคุณเลือกที่จะเชื่อเชิงบวกแบบบิล เกตส์, บารัก โอบามา, ฮิลลารี คลินตัน, มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ฯลฯ ก็ย่อมดีต่อตัวคุณ แต่หากคุณเลือกเชื่อแบบจำกัดความสุขและความสำเร็จในชีวิต เช่น เชื่อว่าแข่งพายเรือแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ แบบนี้ก็จบกัน ชีวิตไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนพอดี
ต่อไปนี้ถ้าจะเลือกเชื่ออะไร ก็เลือกที่มันเชื่อแล้วดี เชื่อแล้วรุ่ง เชื่อแล้วรวย เชื่อแล้วสุข ดีกว่าครับ
ส่วน เชื่อแล้วเครียด เชื่อแล้วกลุ้ม เชื่อแล้วจน เชื่อแล้วหมกมุ่นงมงาย กรุณากลั่นกรองเลือกเอามาไว้แค่เพียงแนวคิดสำหรับเตือนใจไม่ให้ประมาท แต่อย่าได้นำมันมาครอบงำชีวิตคุณทั้งหมดเลยครับ
ป.ล. ถ้าหากเราต่อต้านคำทำนาย หรือทำตัวไม่เป็นดังที่เขาทำนายไว้ มีศัพท์เฉพาะอีกคำหนึ่ง เรียกว่า Self-defeating Prophecy ครับ ถ้าหากสนใจเรื่องนี้และต้องการจะศึกษาโดยละเอียด ท่านสามารถหาอ่านได้จากตำรา 'จิตวิทยาสังคม' เขียนโดย อาจารย์นพมาศ อุ้งพระ หรือ นักศึกษาสามารถลงเรียนในวิชา PY226: จิตวิทยาสังคม มีสอนแน่นอน! สนุกมากๆ ขอบอก
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
เรียงเรียงจาก หนังสือ "ชีวิตลงตัว"
ขอขอบคุณ คุณนเรศร์ มหาคุณ สำหรับบทความดีดีมีประโยชน์
เครดิต : https://www.facebook.com/psytu
หมายถึงปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาเกี่ยวกับคำทำนายหรือสิ่งที่เราเชื่อนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเราอย่างมาก จนส่งผลให้ชีวิตเราเป็นไปอย่างที่เชื่อนั้น
สมมติว่าคุณเชื่ออย่างแรงกล้าว่า หากคบกันแฟนมาครบ 7 ปี แล้วต้องเลิกกันแน่นอน(ตามความเชื่อเรื่อง "อาถรรพ์หมายเลข 7") จิตที่เชื่อในเรื่องนี้อย่างมากของคุณจะเกิดความกลัวและตระหนก เอาแต่คิดไปว่า ถึง 7 ปีแล้วนี่หนอ เลิกแน่เลยเรา ในที่สุดคุณก็จะมีพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดการเลิกกันในปีที่ 7 เป็นความจริงขึ้นมา ดังนั้น การที่เราเชื่อจนจิตชักนำชีวิตไปลงเอยแบบที่เราเชื่อนั่นแหล่ะ คือ "Self-Fulfilling Prophecy" ถ้าให้อธิบายให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจง่ายๆ ก็คือ "คิดมากจนทำตัวเองให้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ"
นักจิตวิทยาชาวตะวันตกเคยทำการทดลองเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาหลายครั้งครับ โดยครั้งที่โด่งดังที่สุดก็คือ การนำนักเรียนที่มีระดับสติปัญญาปานกลางเหมือนกันมาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม แล้วทำการทดลอง ดังนี้:
- กลุ่มแรก จะมีครูพูดย้ำเสมอว่า "พวกเธอเป็นเด็กฉลาดมากนะ ไอคิวอัจฉริยะทีเดียว ต่อไปภายภาคหน้าพวกเธอต้องมีอนาคตที่ดี" แล้วก็มีการสร้างสถานการณ์แวดล้อมให้เด็กๆ เชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกเขาเก่งจริงๆ
- เด็กกลุ่มที่สอง ครูก็พูดย้ำเหมือนกันครับ แต่จะย้ำทำนองว่า "พวกเธอก็แค่เด็กสมองขี้เลื่อย เรียนไม่เคยรู้เรื่อง ครูสอนอะไรไปก็ลืม ครูเป็นห่วงอนาคตของพวกเธอจริงๆ"
- เด็กกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มควบคุม คือ ได้รับการปฎิบัติแบบปกติ ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม
การทดลองดำเนินไป 1 ปีเต็ม จนในที่สุดก็สรุปการทดลองออกมาว่า เด็กกลุ่มแรกที่ได้รับคำบอกมาตลอดว่าเป็นเด็กเก่ง มีผลการเรียนดีขึ้นอย่างมาก ซ้ำยังตั้งใจเรียน ใฝ่หาความรู้สมดังคำนิยามของเด็กเรียนเก่งจริงๆ ส่วนเด็กกลุ่มที่ 2 มีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับกลุ่มแรกเลยครับ ทั้งไม่สนใจเรียน ผลการเรียนต่ำลง บางรายก็เป็นเด็กนิสัยเสียไปเลย ส่วนกลุ่มที่ 3 เป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชนิดที่ว่าเห็นได้ชัดเท่าสองกลุ่มแรก
มาลองคิดกันเล่นๆ นะครับว่า อะไรทำให้เด็กที่จริงๆ แล้วมีสติปัญญาพอๆ กัน กลับมีผลการเรียนแตกต่างกันขนาดนี้ ก็เพราะพวกเขาแต่ละคนเชื่อในสิ่งที่ครูบอกน่ะสิครับ
แสดงว่าสิ่งที่เขาเชื่อน่ะ มีผลโดยตรงต่อจิตใจของเขาเอง ที่ได้รับคำชมว่าเรียนเก่งก็เลยพลอยคิดว่าตัวเองเก่งจริง เด็กเลยเก่งขึ้น หนำซ้ำพฤติกรรมยังกลายเป็นเด็กขยันสมคำบอกอีกด้วย ส่วนพวกที่โดนแต่คำดุด่าหาว่าไม่ฉลาดก็เรียนไปพร้อมๆ กับความคิดว่าตัวเองนั้นมันมีไอคิวต่ำต้อย ด้อยปัญญา เรียนไปก็เท่านั้น จะเห็นได้ว่าความเชื่อที่เข้ามาอยู่ในสมองพวกเขานี่หล่ะครับที่ส่งผลให้เขาเป็นเช่นนั้น อย่างที่ฝรั่งเรียกกันว่า YOU ARE WHAT YOU THINK หรือแปลเป็นไทยคือ เราจะเป็นอย่างเช่นที่เราคิดไว้
อย่างกรณีอาถรรพ์หมายเลข 7 ที่ได้ยกตัวย่างไปในตอนต้นนั้น เหตุมันไม่ได้เกิดจากอาถรรพ์อะไรเลยครับ แต่เพราะเราเชื่อว่ามันจริง แล้วเราก็เริ่มที่จะกลัว พอเรากลัว เราก็จะเครียด วิตกกังวล หวาดระแวง ทีนี้ก็จะทำให้เราหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เมื่อแฟนทำอะไรไม่ถูกใจก็โกรธแรงกว่าปกติ เพราะจิตเรากำลังร้อนรนและคิดย้ำว่า นี่ไง อาถรรพ์หมายเลข 7 ส่อแววแล้ว ...ในตอนสุดท้าย สิ่งที่ไล่คนรักของเราไป ไม่ใช่ฤทธิ์เลข 7 หรอกครับ แต่เป็นเรื่องของจิตใจที่ดันไปเชื่อเรื่องราวใดๆ ที่ไม่เหมาะสมต่างหาก
รวมถึงการหลงเชื่อหมอดู หมอมด หมอผี แม้กระทั่งกรุปเลือดทายนิสัยอะไรเทือกนี้ ชีวิตบางคนอาจลงเหวก็เพราะงมงายมากเกินไปนี่แหล่ะ ขาดสติพิจารณา ไตร่ตรองว่าอันที่จริง "ชีวิตเราเป็นของเรา" ครับ ไม่ได้มีใครกำหนดหรือล่วงรู้ว่าเราจะต้องไปทางไหน เราทุกคนเป็นปัจเจกบุคคล มีความแตกต่างกัน ขนาดเกิดมาจากท้องแม่เดียวกันยังมีนิสัย ความคิด ความชอบ ที่ไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นสุภาษิตโบราณที่ว่า 'ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน' ก็ยังเป็นสุภาษิตเตือนใจที่ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
สรุปแล้ว คำทำนายจะช่วยให้ชีวิตคุณลงตัวหรือลงเหวย่อมอยู่ที่คุณครับ ว่าคุณจะใส่ความเชื่ออะไรลงไปให้ตัวเอง หากคุณเลือกที่จะเชื่อเชิงบวกแบบบิล เกตส์, บารัก โอบามา, ฮิลลารี คลินตัน, มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ฯลฯ ก็ย่อมดีต่อตัวคุณ แต่หากคุณเลือกเชื่อแบบจำกัดความสุขและความสำเร็จในชีวิต เช่น เชื่อว่าแข่งพายเรือแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ แบบนี้ก็จบกัน ชีวิตไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนพอดี
ต่อไปนี้ถ้าจะเลือกเชื่ออะไร ก็เลือกที่มันเชื่อแล้วดี เชื่อแล้วรุ่ง เชื่อแล้วรวย เชื่อแล้วสุข ดีกว่าครับ
ส่วน เชื่อแล้วเครียด เชื่อแล้วกลุ้ม เชื่อแล้วจน เชื่อแล้วหมกมุ่นงมงาย กรุณากลั่นกรองเลือกเอามาไว้แค่เพียงแนวคิดสำหรับเตือนใจไม่ให้ประมาท แต่อย่าได้นำมันมาครอบงำชีวิตคุณทั้งหมดเลยครับ
ป.ล. ถ้าหากเราต่อต้านคำทำนาย หรือทำตัวไม่เป็นดังที่เขาทำนายไว้ มีศัพท์เฉพาะอีกคำหนึ่ง เรียกว่า Self-defeating Prophecy ครับ ถ้าหากสนใจเรื่องนี้และต้องการจะศึกษาโดยละเอียด ท่านสามารถหาอ่านได้จากตำรา 'จิตวิทยาสังคม' เขียนโดย อาจารย์นพมาศ อุ้งพระ หรือ นักศึกษาสามารถลงเรียนในวิชา PY226: จิตวิทยาสังคม มีสอนแน่นอน! สนุกมากๆ ขอบอก
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
เรียงเรียงจาก หนังสือ "ชีวิตลงตัว"
ขอขอบคุณ คุณนเรศร์ มหาคุณ สำหรับบทความดีดีมีประโยชน์
เครดิต : https://www.facebook.com/psytu
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google