จากพ่อหลวงถึงปัจจุบัน (หนึ่งในซีรี่การศึกษา ผมจะทำวิจัย) (แก้ไขครั้งที่ ๑)
12 มิ.ย. 56 01:41 น. /
ดู 297 ครั้ง /
4 ความเห็น /
1 ชอบจัง
/
แชร์
คราวนี้ผมจะลองเปรียบเทียบการศึกษาของไทยระหว่างสมัยพ่ออยู่หัวรัชการที่ ๕ กับปัจจุบัน แต่ขอบอกก่อนว่าเท่าที่ผมศึกษามานะ เพราะในอนาคตผมคงได้มีโอกาสแก้ไขเพิ่มเติมบทความชิ้นนี้แน่นอน
๑.........
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระดำริประมาณว่า ในรัชการของท่าน ท่านจะสร้างโรงเรียนแทนการสร้างวัด เพื่อให้การศึกษาไปสู่อาณาราษฎรของท่าน ราวๆ ปี 2414 หรือ 2415 ผมจำไม่ได้ พ่ออยู่หัวได้ทำการทดลองแนวคิดดังกล่าวด้วยการก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกคือโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก หรือโรงเรียนสวนกุหลาบ สอนเหล่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ รวมถึงลูกหลานข้าราชการ
และเมื่อท่านทรงเห็นการดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี ท่านจึงมีพระราชโองการให้สร้างโรงเรียนสำหรับราษฎรหลายแห่งกระจายออกไปเพื่อให้เหล่าลูกหลานราษฎรทั่วไปได้มีโอกาสเล่าเรียนในระบบ โดยวิชาที่สอนแบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ๑.วิชาการทั่วไป สอนภาษาไทย และคณิตศาสตร์ ๒.วิชาชีพ สอนการทำนา, ทำสวน, ทำไร, เลี้ยงสัตว์, จักรสาน ตามแต่ถนัด (ในสมัยนั้นท่านให้เรียนฟรีๆ)
ในสมัยนี้มีโรงเรียนกระจายออกไปอย่างทั่วถึง แม้แต่โรงเรียนใหญ่ๆ ที่ระดมกันสร้างอาคารเรียนจนแน่นขนัดแทบจะต่ออาคารกันเลยทีเดียว เพื่อขยายให้ลูกหลานของประชาชนทั่วไป โดยผู้ปกครองต้องเสียเงินค่านู่นนี้นั่น ด้วย...
๒.........
ต่อจากในสมัยพ่ออยู่หัว ในช่วงแรกๆ ของการเปิดกิจการโรงสกูลราษฯ (สมัยนั้นท่านเรียกทับศัพท์สากลคำว่า School) ไม่เป็นที่ตอบรับเท่าที่ควร ด้วยพ่อแม่ไม่กล้าส่งลูกหลานมาเรียนด้วยสาเหตุ คิดว่าโรงสกูลต้องเสียเงิน เพราะส่วนใหญ่มีฐานะที่ค่อนจะยากจน และด้วยเหตุที่ว่าลูกหลานต้องทำงานช่วยพ่อแม่จึงไม่ว่างไปเรียน
สมัยนี้ เรามีระบบเรียนฟรี เด็กได้เรียนในโรงเรียนดีๆ แต่ไม่อยากเรียน หนีเที่ยว
สมัยนี้ เรามีระบบเรียนฟรี เด็กยากจนได้เรียนแค่โรงเรียนขยายโอกาส อนาคตไม่ค่อยสดใสเพราะโรงเรียนที่เรียนมันได้เพียงแค่ขอไปที
๓.........
สมัยพ่ออยู่หัว การตั้งโรงสกูลนั้นลำบาก ด้วยหาทำเลยาก อีกทั้งการก่อสร้างมีค่าใช้จ่ายทั้งวัตถุดิบ และแรงงาน อีกทั้งการบุคลากรครูที่เป็นที่ยอมรับนั้นมีน้อย
ปัจจุบันมีโรงเรียนกระจายไปแทบทุกพื้นที่ แต่มีการยุบรวมให้ลดน้อยลงเล็กน้อยด้วยงบประมาณรายปีที่กระทรวงศึกษาธิการได้ต่อไป ๔แสนล้าน นั้นไม่พอจ้างบุคลากร
อีกทั้งบุคลากรนั้นมีมากมายจนแทบจะเดินชนกันตายไปข้างหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จบมาไม่ค่อยได้คุณภาพด้วยการคัดสรรค์คนเข้าศึกษาวิชาชีพครูนั้นเน้นปริมาณหวังโควต้ารายหัวที่โปรแกรมวิชาจะได้
อีกทั้งครูที่จบมาอย่างมหาศาลนั้นส่วนใหญ่มีอันต้องไปประกอบอาชีพอื่นที่ได้ค่าตอบแทนมากกว่า ด้วยทางกระทรวงศึกษาธิการนั้นเห็นว่างบประมาณ ๔แสนล้านบาทต่อปีนั้นไม่เพียงพอต่อการจ้างบุคลากร จึงได้ลดรายได้ต่อเดือน ลดแรงจูงใจในการทำงานของครู
(ปัจจุบันมีปัญหาครูขาดแคลน รวมถึงภาระครูหนึ่งคนที่ต้องรับผิดชอบนักเรียน 30 - 40 คน ซึ่งหนักเกินไป)
ดังนั้นในปัจจุบันคนที่จะเป็นครูได้นั้นผมมองแล้วมี ๒ ประเภท คือ
๑. คนที่อยากเป็นครูอย่างแท้จริง
๒. คนที่จบสายวิชาอื่นแต่หางานทำไม่ได้
สรุปทั้ง ๓ หัวข้อที่ผมว่ามาได้ดังนี้
สมัยพ่ออยู่หัวท่านพยายามสร้างโรงเรียน และพยายามให้โอกาสคนได้เข้ามาเรียน แต่ประสบปัญหาว่าครูขาดแคลน และพ่อแม่ไม่กล้าส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนด้วยเหตุผล ๒ ข้อที่ผมว่ามา
แต่ ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการคิดว่ามีโรงเรียนมากจนต้องยุบให้น้อยกว่าเดิม รวมทั้งบุคลากรเพียงพอจนไม่อยากง้อให้เด็กจบใหม่มาเป็นครู รวมทั้งยังเพิ่มภาระให้ครูหนึ่งคนรับผิดชอบเด็ก 30 40 คน และยังต้องรับผิดชอบงานเอกสารมากมาย ด้วยเห็นว่าเป็นภาระที่เหมาะสมต่อเงินเดือนหมื่นนิดๆ
ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่
เท่าที่ผมเคยเห็น อาชีพขายข้างแกงยังมีกำไรต่อเดือนรวมกันเยอะกว่าครูอีกนะ
ผมถึงบอกไงว่า คนที่มาเป็นครู ถ้าไม่อยากเป็นจริงๆ ก็คือพวกที่หางานอื่นไม่ได้แล้ว
นี่เหละ อาชีพครูที่มีเกียรติสูงส่ง สร้างคนให้เป็นคน แต่ตัวครูแทบจะเอาตัวไม่รอด
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระดำริประมาณว่า ในรัชการของท่าน ท่านจะสร้างโรงเรียนแทนการสร้างวัด เพื่อให้การศึกษาไปสู่อาณาราษฎรของท่าน ราวๆ ปี 2414 หรือ 2415 ผมจำไม่ได้ พ่ออยู่หัวได้ทำการทดลองแนวคิดดังกล่าวด้วยการก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกคือโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก หรือโรงเรียนสวนกุหลาบ สอนเหล่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ รวมถึงลูกหลานข้าราชการ
และเมื่อท่านทรงเห็นการดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี ท่านจึงมีพระราชโองการให้สร้างโรงเรียนสำหรับราษฎรหลายแห่งกระจายออกไปเพื่อให้เหล่าลูกหลานราษฎรทั่วไปได้มีโอกาสเล่าเรียนในระบบ โดยวิชาที่สอนแบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ๑.วิชาการทั่วไป สอนภาษาไทย และคณิตศาสตร์ ๒.วิชาชีพ สอนการทำนา, ทำสวน, ทำไร, เลี้ยงสัตว์, จักรสาน ตามแต่ถนัด (ในสมัยนั้นท่านให้เรียนฟรีๆ)
ในสมัยนี้มีโรงเรียนกระจายออกไปอย่างทั่วถึง แม้แต่โรงเรียนใหญ่ๆ ที่ระดมกันสร้างอาคารเรียนจนแน่นขนัดแทบจะต่ออาคารกันเลยทีเดียว เพื่อขยายให้ลูกหลานของประชาชนทั่วไป โดยผู้ปกครองต้องเสียเงินค่านู่นนี้นั่น ด้วย...
๒.........
ต่อจากในสมัยพ่ออยู่หัว ในช่วงแรกๆ ของการเปิดกิจการโรงสกูลราษฯ (สมัยนั้นท่านเรียกทับศัพท์สากลคำว่า School) ไม่เป็นที่ตอบรับเท่าที่ควร ด้วยพ่อแม่ไม่กล้าส่งลูกหลานมาเรียนด้วยสาเหตุ คิดว่าโรงสกูลต้องเสียเงิน เพราะส่วนใหญ่มีฐานะที่ค่อนจะยากจน และด้วยเหตุที่ว่าลูกหลานต้องทำงานช่วยพ่อแม่จึงไม่ว่างไปเรียน
สมัยนี้ เรามีระบบเรียนฟรี เด็กได้เรียนในโรงเรียนดีๆ แต่ไม่อยากเรียน หนีเที่ยว
สมัยนี้ เรามีระบบเรียนฟรี เด็กยากจนได้เรียนแค่โรงเรียนขยายโอกาส อนาคตไม่ค่อยสดใสเพราะโรงเรียนที่เรียนมันได้เพียงแค่ขอไปที
๓.........
สมัยพ่ออยู่หัว การตั้งโรงสกูลนั้นลำบาก ด้วยหาทำเลยาก อีกทั้งการก่อสร้างมีค่าใช้จ่ายทั้งวัตถุดิบ และแรงงาน อีกทั้งการบุคลากรครูที่เป็นที่ยอมรับนั้นมีน้อย
ปัจจุบันมีโรงเรียนกระจายไปแทบทุกพื้นที่ แต่มีการยุบรวมให้ลดน้อยลงเล็กน้อยด้วยงบประมาณรายปีที่กระทรวงศึกษาธิการได้ต่อไป ๔แสนล้าน นั้นไม่พอจ้างบุคลากร
อีกทั้งบุคลากรนั้นมีมากมายจนแทบจะเดินชนกันตายไปข้างหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จบมาไม่ค่อยได้คุณภาพด้วยการคัดสรรค์คนเข้าศึกษาวิชาชีพครูนั้นเน้นปริมาณหวังโควต้ารายหัวที่โปรแกรมวิชาจะได้
อีกทั้งครูที่จบมาอย่างมหาศาลนั้นส่วนใหญ่มีอันต้องไปประกอบอาชีพอื่นที่ได้ค่าตอบแทนมากกว่า ด้วยทางกระทรวงศึกษาธิการนั้นเห็นว่างบประมาณ ๔แสนล้านบาทต่อปีนั้นไม่เพียงพอต่อการจ้างบุคลากร จึงได้ลดรายได้ต่อเดือน ลดแรงจูงใจในการทำงานของครู
(ปัจจุบันมีปัญหาครูขาดแคลน รวมถึงภาระครูหนึ่งคนที่ต้องรับผิดชอบนักเรียน 30 - 40 คน ซึ่งหนักเกินไป)
ดังนั้นในปัจจุบันคนที่จะเป็นครูได้นั้นผมมองแล้วมี ๒ ประเภท คือ
๑. คนที่อยากเป็นครูอย่างแท้จริง
๒. คนที่จบสายวิชาอื่นแต่หางานทำไม่ได้
สรุปทั้ง ๓ หัวข้อที่ผมว่ามาได้ดังนี้
สมัยพ่ออยู่หัวท่านพยายามสร้างโรงเรียน และพยายามให้โอกาสคนได้เข้ามาเรียน แต่ประสบปัญหาว่าครูขาดแคลน และพ่อแม่ไม่กล้าส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนด้วยเหตุผล ๒ ข้อที่ผมว่ามา
แต่ ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการคิดว่ามีโรงเรียนมากจนต้องยุบให้น้อยกว่าเดิม รวมทั้งบุคลากรเพียงพอจนไม่อยากง้อให้เด็กจบใหม่มาเป็นครู รวมทั้งยังเพิ่มภาระให้ครูหนึ่งคนรับผิดชอบเด็ก 30 40 คน และยังต้องรับผิดชอบงานเอกสารมากมาย ด้วยเห็นว่าเป็นภาระที่เหมาะสมต่อเงินเดือนหมื่นนิดๆ
ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่
เท่าที่ผมเคยเห็น อาชีพขายข้างแกงยังมีกำไรต่อเดือนรวมกันเยอะกว่าครูอีกนะ
ผมถึงบอกไงว่า คนที่มาเป็นครู ถ้าไม่อยากเป็นจริงๆ ก็คือพวกที่หางานอื่นไม่ได้แล้ว
นี่เหละ อาชีพครูที่มีเกียรติสูงส่ง สร้างคนให้เป็นคน แต่ตัวครูแทบจะเอาตัวไม่รอด
แก้ไขล่าสุด 12 มิ.ย. 56 01:43 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google