Frozen ( 2013 ) Movie Review by FallsDownz

11 ธ.ค. 56 20:50 น. / ดู 3,415 ครั้ง / 6 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
Movie Review
อนิเมชั่นหนาวเหน็บเรื่องใหม่จากค่าย Disney !!


Movie Name : Frozen ( 2013 ) , Animation / Adventure / Comedy
Director : Chris Buck ( Tarzan ) , Jennifer Lee
Stars : Kristen Bell  ( When in Rome ) , Idina Menzel ( Enchanted , Beowulf ) , Jonathan Groff ( C.O.G. ) , Josh Gad ( Jobs )
Rating : PG



REVIEW

        ถ้าหากจะให้นึกถึงค่ายภาพยนตร์อนิเมชั่นบนโลกกลมๆใบนี้แล้วล่ะก็ ค่ายภาพยนตร์แรกๆที่คงจะผุดขึ้นมาในหัวหรืออาจจะเป็นค่ายแรกที่คิดถึงเลยก็เป็นได้ คงจะหนีไม่พ้นค่ายน้องหนู Mickey Mouse อย่าง Disney เป็นแน่แท้ ซึ่ง Disney นั้นสร้างผลงานภาพยนตร์อนิเมชั่นชื่อดังและคลาสสิคเอาไว้มากมาย อย่างเช่น Tarzan , Beauty and the Beast , Little Mermaid , Lion King และภาพยนตร์อนิเมชั่นสุดโปรดของผู้เขียน Mulan นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์อนิเมชั่นอื่นๆอีกมากมายที่เรียกได้ว่าสร้างชื่อเสียงมากๆให้กับ Disney จึงเป็นสาเหตุที่ว่าภาพยนตร์อนิเมชั่นของค่ายนี้ มักจะมีคุณภาพเสมอๆ (เพราะถ้าหากออกมาเละเทะ คงโดนแฟนๆและนักวิจารณ์สับเละเทะเช่นกันแน่นอน) ถึงแม้ช่วงหลังๆนี้มานั้นจะขึ้นๆลงๆมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในหลายๆปีที่ผ่านมานี้เช่น Rapunzel หรือ Brave ที่พยายามที่สร้างและทำให้มันเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นระดับ “Classic” อีกเรื่อง ซึ่งก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าใดนัก ถึงแม้ทั้งสองเรื่องจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่เลยก็ตาม
ซึ่ง Frozenนั้น มีเสียงวิจารณ์บางท่านถึงกับพูดว่าดีเทียบเท่า Beauty and the Beast เลยทีเดียว จึงไม่แปลกที่แฟนๆหลายคนจะตั้งตารอคอยและคาดหวังในระดับหนึ่ง




Frozen นั้นเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นครั้งใหม่ที่เรียกได้ว่า “ยกระดับ” ภาพยนตร์อนิเมชั่นของตัว Disney เองในขณะนี้ ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยบทที่สดใหม่ น่าสนใจ  Plot Twisted หรือ จุดหักมุมที่ชาญฉลาดและค่อนข้างที่จะ “Surprise” ผู้เขียนในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ใช่การ Surprise หักมุมแบบเดาไม่ออก เป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจและสดใหม่สำหรับ Frozen เลยก็คือ โครงสร้างของบทภาพยนตร์ที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเก่า ยกตัวอย่างเช่น Rapunzel กับ Brave ซึ่งแยกแทบจะชัดเจนมากๆว่า ตัวเอกมีเพียงตัวเดียวอย่างใน Brave หรือเป็นคู่รักผจญภัยคู่เดียวอย่างใน Rapunzel และตัวร้ายที่ค่อนข้างจะชัดเจนทั้งคู่ ซึ่งใน Frozen นั้นแตกต่างจากการที่มีตัวละครหลักถึงสองตัวและเป็นสองตัวละครหลักที่เป็น “พี่น้อง”ไม่ใช่คู่รัก คู่เลิฟอีกต่อไป ซึ่งเมื่อตัวภาพยนตร์นั้นได้วาง จุดขัดแย้งหรือ Conflict ลงไปในสองตัวละครนี้แล้ว มันได้สร้าง ”มุมมองใหม่” ให้กับตัวภาพยนตร์อย่างมาก จากที่เราได้มองโลกในภาพยนตร์เพียงมุมเดียวอย่างใน Rapunzel หรือ Brave แล้ว ใน Frozen นั้นเราจะได้มองโลกในภาพยนตร์ถึงสองมุมจาก มุมมอง ความคิดต่างๆจุดขัดแย้งที่เหมือนกัน และไม่เหมือนกัน ของแต่ละตัวละครเลยทีเดียว ยังไม่รวมถึง Sub Plot หรือ บทรองที่ยังคงไม่ลืมจะใส่เรื่อง “ความรัก” หนุ่ม-สาวมาเช่นเคย ซึ่ง Plot เหล่านี้นั้นได้รับการเขียน คิดพิเคราะห์มาเป็นอย่างดีเยี่ยมจริงๆ เพราะมันช่างน่าสนใจ และ เป็นอะไรที่ Disney ก้าวขึ้นมาอีกระดับหนึ่งอย่างน่าทึ่ง


อีกสิ่งสำคัญมากๆในภาพยนตร์อนิเมชั่นของ Disney ที่ถ้าขาดไป นี้คงจะไม่ใช่อนิเมชั่นของ Disney เป็นแน่แท้ นั้นก็คือ “ร้องเพลง” ซึ่งยังคงบทเพลงอันแสนไพเราะ จับใจ และยังคงประสานระหว่าง เพลง และ ภาพในฉากต่างๆได้อย่างชาญฉลาดเช่นเคย ซึ่งใน Frozen ค่อนข้างที่จะสังเกตได้ว่ามีการเล่นกับองค์ประกอบภาพมากระดับหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่างๆในฉาก เงา แสงต่างๆ และบางครั้งมันสร้างความหมายให้กับฉากได้อย่างน่าทึ่ง และ น่าจดจำไม่ใช่น้อย ซึ่งจากการที่ภาคนี้นั้น มีโครงสร้างตัวละครหลักถึงสองตัว มันก็ยิ่งทวีคูณความน่าสนใจ และความไพเราะในฉากร้องเพลงขึ้นไปอีกเท่าตัว เนื่องจากการร้องตัดกันไปมาของสองตัวละครหลัก ที่หลายๆครั้งความคิด อารมณ์ และบทร้องช่างสวนทางกันไปมาได้อย่างไพเราะ และจับใจ



จุดสำคัญต่อมาเลยนั้นก็คือ “อารมณ์ขัน”ในภาพยนตร์ ซึ่งใน Frozen นั้นก็ได้เป็นเจ้าตุ๊กตาหิมะ Olaf (คงไม่ใช่จากเกม League of Legends หรอกนะ) ซึ่งต้องขอชมเลยว่า Disney ประสบความสำเร็จอย่างมากกับตัวละครนี้ เพราะนอกจากความน่ารัก น่าหยิก และมุขตลกสุดแสนฮาที่มีลูกเล่นที่แสนฉลาดของมันแล้ว มันยังโขมย Scene หลายๆ Scene ไปได้อย่างง่ายดาย และคงได้ขโมยหัวใจผู้ชมไปหลายๆคนแล้วเช่นกัน ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ Disney และผู้กำกับหวังเอาไว้มากที่สุดจากตัวละครนี้ สุดท้ายนี้ นั้นก็คือ CG ที่ยังคงสวยงาม อลังการ สร้างอารมณ์ร่วม เช่นเคย ถึงแม้จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นการใช้ CG ที่เปลี่ยนแปลงมากเท่าไรเลยของ Disney ก็ตาม




ถ้าหากมีคนถามผู้เขียนว่า “เห็นด้วยไหมกับคำพูดที่กล่าวกันมาว่า Frozen เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องใหม่ของ Disney ที่  Classic เทียบเท่ากับ Beauty and the Beast” ผมคงตอบใน ณ ที่นี้เลยว่า “ไม่ครับ” เพราะอย่างน้อยก็สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ Frozen ยัง “ทำได้ไม่ดีพอ” และยังคงห่างไกลกับภาพยนตร์สุดแสนคลาสสิคครองใจคนมายาวนานอย่าง Beauty and the Beast  เช่น การเล่าเรื่องในช่วงแรกของภาพยนตร์ที่เร่งมากจนเกินไป พอที่จะเข้าใจว่า ทางผู้กำกับคงอยากที่จะให้ตัวภาพยนตร์นั้นเข้าเรื่องหลักเร็วๆมากขึ้น แต่การเล่าเรื่องในช่วงแรกที่รวดเร็วมากจนเกินไปเช่นนั้น มันทำให้ความผูกพันธ์ระหว่างตัวละครกับผู้ชมลดลงพอสมควร ทั้งๆที่ในช่วงท้ายบางช่วงของภาพยนตร์ดันกลับรู้สึกช้าจนน่าเบื่อไปเสียนั้น จุดต่อมาเลยก็คือ การสับ จัดวาง เล่าเรื่อง ระหว่างบทหลัก และบทรองของภาพยนตร์ที่ยังโลเล สับสน โดยความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ควรจะเป็นแกนหลักของภาพยนตร์ แต่ในบางครั้งกลับรู้สึกว่า ความสัมพันธ์รักๆใคร่ๆของหนุ่มสาว กลับเบียดบทหลักเข้ามาแทนที่เป็นแกนหลักของภาพยนตร์เสียอย่างนั้น จากการที่ตัวภาพยนตร์ในหลายๆช่วงโฟกัสการเล่าเรื่องไปที่จุดความรักหนุ่ม-สาว มากกว่าตัวความรักของพี่น้อง ซึ่งผลของมันก็คือ มันทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกเอาใจช่วย หรือ เข้าถึงตัวละครหลักที่ควรจะเป็นแกนกลางอย่างสองพี่น้องเท่าที่ควรจะเป็นอย่างน่าเสียดาย จุดสุดท้ายนั้นก็คือ ฉาก Climax หรือ ฉากสุดท้ายที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะมันกลับเป็นฉาก Climax ที่ทำให้รู้สึกเพียงแค่ตกใจกับจุดหักมุมของมัน มากกว่าที่จะรู้สึกประทับใจไปกับมัน ซึ่งส่วนหนึ่งคงจะเป็นผลมาจากบทที่พยายามจะ”หักมุม” มากจนเกินไป จนลืมสิ่งที่ทำให้ Climax เป็น Climax ที่แท้จริง Climax หรือฉากที่เป็นจุดนำไปสู่จุดจบ/บทสรุปของภาพยนตร์นั้น ควรจะเป็นฉากที่สร้าง"ความประทับใจบางอย่าง" ให้กับผู้ชม เช่น ประทับใจในความอลังการของมัน , ประทับใจในการกระทำของตัวละครซึ่งส่งผลไปถึงจุดจบของภาพยนตร์ อื่นๆอีกมากมาย มากกว่าเป็นเพียงแค่จุดอีกจุดหนึ่งที่ทำได้แค่เพียง ตกใจ หักมุม และไม่รู้สึกประทับใจหรือจับใจอะไรเลยกับมัน ซึ่งนี้ก็เป็นเหตุผลที่ทำไม Frozen ในความคิดของผู้เขียนนั้น ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่สามารถก้าวไปถึงจุด Classic ได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เช่นกัน ว่า Frozen เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่ง




Frozen เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นของค่าย Disney ที่ในท้ายที่สุด ยังคงไม่หนาวเหน็บมากพอที่จะเกาะติดจับใจผู้ชมได้อย่างที่คาดหวังไว้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน ว่านี้คือผลงานที่กล้าหาญของ Disney ในการที่จะสร้างและคิดสิ่งใหม่ที่แปลกออกไป ถึงแม้มันจะไม่สำเร็จไปทุกส่วนก็ตาม


Final Score [ B + ] & [ Must See Badge ]


อ่านรีวิวเก่าๆและติดตามรีวิวใหม่ๆได้ที่นี้ครับ http://fallsdownz.blogspot.com/
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | MAXENCE' | 12 ธ.ค. 56 08:54 น.


Disney Frozen ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นชุดที่ 53 ของทางวอล์ท ดิสนีย์ แอนิเมชั่น สตูดิโอ
จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นระดับคลาสสิคของดิสนีย์ที่ปัจจุบันหายสาบสูญไปในกาลปัจจุบัน
กลายเป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นแบบระบบ 3 มิติ หรือ 4 มิติ สะส่วนใหญ่แทน
บางคนก็บอกว่าชอบแบบเก่ามากกว่าแบบดั่งเดิมก็ คือ ระบบปกติ 2 มิติ มันจะดูคลาสสิคกว่า
นอกจากนี้ในการทำภาพยนตร์ให้ออกมาแปลกใหม่มากขึ้นทำให้บทบาทของตัวละครที่เป็นเจ้าหญิง
แต่เดิมซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างกับเจ้าหญิงฉบับเก่าๆเปลี่ยนแปลงให้มีบทที่คาดไม่ถึงมากขึ้น เช่น
เจ้าชายกลายเป็นตัวร้ายสะอย่างนั้น มีเจ้าหญิงสององค์ในเรื่องเดียวกัน แถมบางคนก็คิดว่าเจ้าหญิงเอลซ่า
เธอคือตัวร้ายของเรื่องนี้ แต่ผมว่าผมดูมาสองรอบแล้วทั้งพากย์ไทยซาวด์แท็ค บางฉากอาจจะค่อนข้าง
น่าเบื่อแต่โดยรวมแล้วถือว่าเยื่ยมมากเลยนะครับ ดูแล้วรู้สึกอินกับบทบาทของเจ้าหญิงสองคนนี้จริงๆ
เพลงประกอบก็ไพเราะจับใจคนฟังมากเลยทีเดียว ให้ 9/10 ครับสำหรับเรื่องนี้ #คหสต  <3

แก้ไขล่าสุด 12 ธ.ค. 56 08:54 | ไอพี: ไม่แสดง

#2 | เอ็นดู | 12 ธ.ค. 56 14:53 น.

ชอบเจ้าหญิง ทั้งสองพระองค์

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | Wanna|Be:) | 12 ธ.ค. 56 15:39 น.

ชอบตัวละครทั้งหมดเลย ทุกตัวล้วนมีปม
ชอบพระเอกมากจริงๆตั้งแต่ตอนเด็กๆ
นางเอกร่าเริงเว่อร์ โอลาฟก็น่ารักมาก
เพลงประกอบก็สุดยอด แต่บางช่วงมันก็น่าเบื่อจริง

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | arya | 12 ธ.ค. 56 18:08 น.

รักรักฝุดๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | Mars'andMe | 14 ธ.ค. 56 10:03 น.

สปอยด์
.
.
.
.
.
.

ชอบประเด็นที่ เจ้าหญิงอันนา เจอเจ้าชายแล้วตกหลุมรักภายในข้ามคืน แล้วสุดท้ายก็มองเห็นว่าความรักไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน // ชอบเอลซ่าตรงนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนแม่มากกว่าพี่สาว(ฉากที่อันนาไปขอพี่สาวจัดงานแต่งงาน) แถมยังแอบจิกกัดเจ้าหญิงดิสนีย์องค์อื่นๆด้วย 

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | เลเซอร์บีม | 20 ธ.ค. 56 23:05 น.

ชอบตรงที่มี theme เป็นเจ้าหญิงแฟนตาซีซึ่งกินใจเด็กทุกยุคยันพวกแก่ๆหัวหงอกที่เป็นกรรมการรางวัล แต่สิ่งที่นำเสนอก็ทันสมัยมากๆค่ะ เป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่งสำหรับสอนวัยรุ่นใจง่ายแบบสมัยนี้ด้วย ส่วนเพลงคิดว่าบางเพลงก็ไม่สุดเพราะภาพให้อารมณ์มากกว่าเสียง(อย่าง Let It Go) หรือ เสียงให้อารมณ์มากกว่าภาพ (แบบ For The First Time in Forever) เลยทำให้รั้งอารมณ์ไปค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google