หนังถ่ายทำ12ปี"Boyhood"มีคนไปดูมาแล้ว มารีวิวให้เราได้ฟัง

19 ก.ค. 57 15:06 น. / ดู 1,113 ครั้ง / 2 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
ที่มา http://www.pantip.com/topic/32344179

มีคนได้โอกาสได้ไปดูเรื่องนี้ตอนที่เขาแวะไปเที่ยวเวียนนาครับ� เลยเอารีวิวทางเขามาให้ฟังกัน
ณ จุดนี้คงไม่เป็นการเกินเลยที่จะกล่าวว่า Richard Linklater คือหนึ่งในผู้กำกับที่ทำหนังเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดา(หรือถ้าพูดให้ตรงตัวกว่านั้นคือชีวิตของชนชั้นกลางอเมริกัน)ได้สวยงามที่สุดในโลกคล้ายๆกับการที่ไตรภาค Before Sunrise เป็นไตรภาคหนังที่ Linkleter ใช้ในการบอกเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งผ่านหนังสามภาคที่เว้นระยะห่างในการสร้างภาคละเก้าปี [Before Sunrise (1995), Before Sunset (2004) และ Before Midnight (2013)]

Boyhood คือหนังที่ Linklater ใช้เวลาในการถ่ายทำนานถึงสิบสองปีเพื่อบอกเล่าเรื่องการเติบโตของเด็กชายคนหนึ่งผ่านการร้อยเรียงหลากหลายโมเมนต์ในชีวิตของเด็กชายคนนี้เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นหนัง coming of age ความยาวเฉียดสามชั่วโมงเรื่องนี้ขึ้นมาหนังมีทั้งโมเมนต์ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข(ไปโรงเรียน,มีแฟน,มีโอกาสได้ใช้เวลากับครอบครัว ฯลฯ)และโมเมนต์ที่น่าเศร้า(พ่อแม่หย่าร้างกัน,มีปัญหากับพ่อเลี้ยง,เลิกกับแฟน ฯลฯ)ในชีวิตของเด็กชายตัวเอกของเรื่องคละเคล้าไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง

ซึ่ง Linklater ก็ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในหนังของเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนทุกๆครั้ง โทนของหนังจึงฟีลกู๊ดได้อย่างไม่โลกสวยแต่ก็ดราม่าได้อย่างไม่ยัดเยียด ชีวิตของ Mason Jr. (Ellar Coltrane) เอาจจะเป็นเพียงชีวิตธรรมดาๆที่ผ่านช่วงขึ้นๆลงๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรไปกว่าใครก็จริง แต่มันก็ยังเป็นชีวิตธรรมดาๆที่เต็มไปด้วยแง่งามในความธรรมดาของมันนอกเหนือไปจากนั้นแล้ว Boyhood ยังเป็นหนังที่จับภาพความรู้สึกและไลฟ์สไตล์ของเด็ก Generation Z ได้อย่างสมบูรณ์แบบประหนึ่งเป็นไทม์แคปซูลจากทศวรรษที่แล้ว ซึ่งก็เป็นยุคสมัยที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน อะไรหลายๆอย่างที่คนดูจะเห็นในหนังจึงล้วนแล้วแต่เป็นอะไรที่น่าจะยังเด่นชัดในหัวของคนส่วนใหญ่อยู่มากๆ เห็นตัวละครในเรื่องฟัง iPod, ต่อคิวรอดู Harry Potter ภาคใหม่, เปิดวิดีโอเว็บ Funny or Die, ทำแคมเปญหาเสียงให้ Obama, พูดถึงหนังซัมเมอร์อย่าง The Dark Knight, ดู MV ของ Lady Gaga ฯลฯ แล้วก็ได้แต่หยิกตัวเองเป็นช่วงๆไปพร้อมๆกับบอกกับตัวเองในหัวว่า“ใช่ๆๆๆ มันแบบนี้เลย”

ซาวด์แทร็คของหนังก็มีแต่เพลงฮิตติดหูอย่าง Coldplay - Yellow , The Flaming Lips - Do You Realise??, Gnarls Barkley - Crazy, Gotye - Somebody That I Used to Know (feat. Kimbra), Arcade Fire - Deep Blue ฯลฯ การดูหนังเรื่องนี้ทำให้เราคิดได้ว่าเพลงป๊อปพวกนี้ถึงบางครั้งเราจะเปิดฟังแบบผ่านๆแต่มันก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้วจริงๆ The Soundtrack of My Life ทั้งนั้นสุดท้ายอยากออกปากชมการแสดงของ Patricia Arquette ที่ดีงามมากๆ เธอรับบทเป็นแม่ที่แม้จะไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟ็กต์และทำพลาดอยู่บ่อยครั้งในชีวิต แต่เธอก็ยังเลี้ยงดูลูกๆทั้งสองของเธอได้อย่างสุดความสามารถและมอบความรักในฐานะของคนเป็นแม่ได้อย่างเต็มเปี่ยม

ถือเป็นหนึ่งในตัวละครแม่ที่น่าจดจำที่สุดในรอบหลายปีชอบมาก อินมาก และกล้าพูดว่าปีนี้คงจะหาหนังที่ชอบมากกว่าเรื่องนี้ยากแล้วล่ะ�9.0/10
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | `alienxoxo. | 19 ก.ค. 57 19:56 น.

จะเข้าไทยไหมอ่า 

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | หมีตะกร้า | 20 ก.ค. 57 17:40 น.

อยากดูมากๆ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google