Review : Gone Girl not good but it's the best of marriage

17 ต.ค. 57 01:17 น. / ดู 1,577 ครั้ง / 1 ความเห็น / 2 ชอบจัง / แชร์


สดๆร้อนจากเตาอุ่นๆหลังจากออกมาจากโรงหนังจากรอบ 20.20 ถือเป็นการเปิดศักราชหนังเรื่องแรกที่ผมดูรอบพิเศษ แม้คนดูจะเบาบางเพียง 2-3 แถวก็ตาม แต่ก็ถือว่าเกินคาดสำหรับหนังเขย่าขวัญเรื่องนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
**ในการรีวิวไม่มีส่วนสปอยล์ใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งมีการใช้อารมณ์ร่วมในการเขียนเพื่อความบันเทิง**
**หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี่**


ต้องบอกก่อนเลยว่าห่างหายไปนานพอสมควรจากการรีวิวหนังพอสมควร กลับมาคราวนี้ขอยกเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของปีที่มารีวิวหนังเรื่องนี้นั่นก็คือ Gone Girl
สำหรับใครที่ยังไม่รู้หนังเรื่องนี้คืออะไร ยังไง วันนี้ผมจะพาท่านผู้ชมไปดำดิ่งชีวิตคู่ในเรื่องนี้กันครับ


เรื่องย่อและรีวิวหนังสือติดตามได้ที่นี้ครับ
http://www.siamzone.com/board/view.php?sid=4001289




มาในส่วนของรีวิวหนังกัน


เมื่อนวนิยายอันโด่งดังขึ้นมาสู่จอภาพยนตร์ทำให้หลายๆคนคงคิดว่ามันคงแย่หรือทำได้เพียงเท่าเดิมที่ตัวนวนิยาย ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย Harry potter , Divergent รวมทั้งสารพัดนวนิยายที่แต่งไว้ดีมากแต่กลับทำไม่ถึงเมื่อได้ทำเป็นหนัง แต่ก็มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะเป็น The hunger games , The lord of the ring รวมทั้งนวนิยายตัวล่าสุดที่ขึ้นชื่ออย่าง Gone Girl ก็เช่นกันที่ตอนนี้ขึ้นแชมป์หนังทำเงินถึง 2 สัปดาห์และไม่น่าอาจเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ก็เป็นได้ ซึ่งในอเมริกาตอนนี้ถือว่าไปได้ดีในคำวิจารณ์ที่เป็นบวกพอสมควร รวมทั้งกระแสต่างๆที่ช่วยโหมโปรโมตทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นของแรงในประเทศบ้านเกิดและทำให้ผกก.ฟินเชอร์น่าจะกลับมาดังแบบเปรี้ยงๆอีกครั้งหลังจากแผ่วๆลงไปจากหนังเรื่องที่แล้ว ขนาดแผ่วก็ซิวบทดัดแปลงยอดเยี่ยมไป 555+ ครั้งนี้ก็ไม่น่าพลาดเช่นเดียวกัน (มโนสุดๆ)



เป็นที่น่าแปลกใจไม่น้อยหลังจาก The Social Network ที่ปล่อยของออกกมา และ The girl with the dragon tattoo ที่เอาซะเงิบ กลับมาคราวนี้ผกก.มาทำหนัง Gone Girl ทำได้เรียบแบบเหมือนไม่ใช่สไตล์แก เหมือนหนังคนละม้วน ทำให้แปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่การเล่าเรื่องที่เรียบที่ดูเหมือนมันไม่มีอะไร มันทำให้ยากต่อการคาดเดาไม่น้อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นและจะจัดการปัญหาอย่างไรภายใน 2 ชั่วโมงครึ่งที่กลายเป็นมาตรฐานของหนังในสมัยนี้



ผกก.เหมือนจะจับจุดได้ว่าในหนังสือมันมีข้อด้อยอะไรก็พยายามตัดในส่นที่ไม่สำคัญทำให้ตัวหนังนั้นมีเวลาในการเล่นมุขใหม่ๆมากขึ้นด้วยการที่องค์1ได้ใส่ข้อความให้คนดูไปเรือยๆจนกระทั่งองค์2ค่อยเฉลยออกมาทีละเปราะและองค์3ที่กลายเป็นจุดแตกของหนังว่าเรื่องราวจะจบลงไปในทิศทางไหนกันแน่ แต่กลายเป็นว่าเมื่อผมดูเสร็จมันกลับไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปมากอย่างที่ผมคิดเมื่อผมอ่านหนังสือมาต่างจาก The girl with the dragon tattoo ที่ผมรู้สึกว่าจบได้แบบไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้หรืออย่างที่หนังฉบับสวีดิสทำไว้ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากที่สุดแห่งปีนี้เลยก็ว่าได้ เพราะอะไร?



1.นักแสดง ต้องบอกว่าไม่แปลกใจเลยถ้าปีหน้าจะมีชื่อเธอคนนี้ Mrs.Pike ที่แสดงเป็นนางเอก ต้องบอกเลยว่าตีบทแตกเลยทีเดียว ถ้าหากไม่มีชื่อเธอ หลายๆคนคงมีประณามสถาบันนั้นไม่น้อย ส่วน Mr.Affleck ทำได้ในระดับที่ดีพอควรแม้อาจจะไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า The Best ก็ตาม อย่างไรก็ตามผู้ชายคนนี้ก็สามารถแบกหนังเกือบครึ่งเรื่องได้โดยไม่อาย
ส่วนดาราตลกอย่าง Mr.Perry พลิกบทมาแสดงเป็นทนายถือว่าไม่น้อยหน้าแต่ก็ยังดีกว่าที่คิดไว้
ส่วนดาราสาวอีกท่านนึงที่เป็นสายสืบถือว่าเด่นพอสมควร มีลูกล่อลูกชนในการนำเสนอ น่าจะมีสิทธิ์ในระดับรางวัลได้เหมือนกัน




2.เรื่องราวอันชวนหักมุม สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ ต้องบอกเลยว่าแปลกใหม่และชวนช็อคกับภาพที่ปรากฏ แต่สำหรับคนอ่านหนังสือมาแล้วถือว่าอยู่ในระดับเท่าทุน แม้ช่วงหลังๆประเด็นเรื่องการฆ่าและการถูกฆ่าจะถูกยกออกไป รู้สึกเหมือนไม่ได้ความสำคัญในการลงรายละเอียดไปมากกว่านี้อย่างที่คิดไว้ คาดว่าทางผกก.คงพิจารณาและความเหมาะสมในการนำเสนอด้วยการบอกเป็นนัยในช่วงท้ายจากที่นักแสดงท่านนึงได้กล่าวไว้ในเรื่องมากกว่าว่าสาเหตุมาจากประการใด



3.การตัดต่อ ต้องบอกว่ายกเครดิตให้จริงๆ ต้องบอกเลยว่าตัดต่อฉบับเหมือนในหนังสือและสามารถหาทางมาบรรจบได้อย่างเข้ากับเข้ากันเหมาะเจาะเสียยิ่งกว่าที่คิด มีลูกล่อลูกชนในการนำเสนอว่าต้องการให้ออกมาในรูปแบบใดโดยที่ไม่รู้สึกว่าโดดไป แม้ช่วงจะเฉลยจะมีสะดุดที่ทำให้ไม่รู้สึกช็อคกว่าที่คิดเท่ากับหนังสือก็ตาม



4.ดนตรีประกอบ โดดเด่นและทำให้ตัวหนังดูแตกต่างและมีความเป็นตัวเองและเป็นเอกลักษณ์สูง ไม่มีคำบรรยาย คาดว่าน่าจะมีโอกาสได้รางวัลเลยล่ะ



5.สื่อนัยยะ ดูๆไปก็เหมือนหนังเขย่าขวัญสนุกๆที่มีชั้นเชิงในการนำเสนอ แต่นัยยะที่ปรากฏล้วนสะท้อนถึงภาพชีวิตคู่และสื่อสังคมที่อยู่ข้างกายในปัจจุบันที่เสมือนเชื้อโรคและกระแสไหลเวียนของบริบทสังคมเพียงภาพลักษณ์ที่อยากให้เป็นไป



สรุป คงเป็นหนึ่งในหนังชีวิตคู่ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยดูมา มันไม่ใช่เพียงมีเนื้อหาที่ดี นักแสดงที่ดี และหลายๆอย่างที่ดี แต่มันเป็นสิงที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาพลักษณ์ปอกเปลือกภายนอกและภายในของจิตใจมนุษย์ที่เราไม่อาจคาดคิด มันไม่ได้เป็นหนังที่ทุกคนจะต้องชอบ แต่มันเป็นหนังที่มีเรื่องราวที่สดใหม่และไม่คาดคิดว่าทุกคนที่ได้ดูจะชอบไปหมด ฉะนั้นแล้วหนังดีไม่ดีไม่มีใครรู้ เพราะต่างคนต่างจิตใจ ส่วนตัวแล้วมันดีในแบบฉบับที่หลายๆเรื่องบางทียังทำไม่ได้ในส่วนของเรื่องราวที่สะท้อนปัญหาต่างๆในสังคม และ Gone Girl คือแบบอย่างที่เห็นว่าหนังดีๆไม่จำเป็นต้องอลังการหรือแอ็คชั่นตูมตาม เพียงมีเนื้อหาเยี่ยมๆซักเรื่องก็เพียงพอแล้วโดยที่ไม่ต้องโปรโมทหรือสร้างกระแส เพียงแค่ปากต่อปากดั่งกะสายลมก็กลายเป็นคำยอดฮิตไปแล้ว

คำเตือน หนังเรื่องนี้มีภาพที่ล่อแหลมและค่อนข้างรุนแรงในบางฉาก โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
แก้ไขล่าสุด 17 ต.ค. 57 01:54 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | สวนผักกาด. | 19 ต.ค. 57 18:04 น.

ขอบคุณสำหรับรีวิวมากๆค่ะ น่าดูมาก
แต่พออ่านรีวิวแล้วรู้สึกอยากเก็บหนังสือด้วย



แต่ตอนดูโปสเตอร์หน้าโรงนี้แบบ เล่นซ่อนหาย
นึกว่าเรื่องแนวๆ บาดุค(ไม่ใช่ล่ะ) 555555555

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google