Whiplash ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz
5 พ.ย. 57 19:00 น. /
ดู 595 ครั้ง /
0 ความเห็น /
1 ชอบจัง
/
แชร์
Whiplash ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz
" Whiplash เปรียบเสมือนอภิมหาสงคราม 107 นาทีระหว่างศิษย์กับอาจารย์ที่ปราศจากโดยกระสุนหรืออาวุธใดๆ แต่ใช้เพียงแค่กลอง ร่างกาย จิตใจและความฝันเท่านั้นเป็นตัวขับเคลื่อน "
เมื่อใกล้สิ้นปีเข้ามาเรื่อยๆแล้ว นอกจากภาพยนตร์กระแสหลักจะปล่อยภาพยนตร์ใหญ่ยักษ์ที่หลายๆคนรอคอยมาให้เราชมส่งท้ายปีกันแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่พยายามจะมาเปิดตัวสร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์และผู้ชมทั้งหลายจนส่งผลต่อไปถึงงานรางวัลใหญ่ๆในปีหน้าอย่างเช่นออสการ์เช่นกัน ซึ่งปีนี้ก็มีภาพยนตร์ที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยมนำหน้าไปก่อนแล้วอย่าง Boyhood และเสียงตอบรับก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะดีมากๆ คราวนี้ก็ถึงตาภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า Whiplash จะได้เฉิดฉายสู่สายตาชาวโลกกันบ้าง
สิ่งที่น่าประทับใจมากสุดสำหรับตัวผู้เขียนในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ ความสนุก ตื่นเต้นและเข้มข้นของตัวมัน Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกสนุก น่าติดตาม และตรึงผู้ชมได้อยู่หมัดตลอดเวลา ด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่หวือหวาจนน่ารำคาญ แต่ยังคงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นอย่างเข้มข้นและไม่ปล่อยมันไป โดยเฉพาะฉากการปะทะกันระหว่างสองตัวละครเอกอย่างแอนดรูว์กับเฟลชเชอร์ที่ดุเดือดเลือดพล่านซะอย่างกับเป็นภาพยนตร์อภิมหาสงครามเจ็ดทัพ มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่ผู้เขียนได้ชมภาพยนตร์ไทยอย่างโหมโรงแต่เปลี่ยนเครื่องดนตรีมาเป็นกลองแทน ผู้เขียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่การฝึกซ้อมตีกลองวงดนตรีวงหนึ่งมันจะเข้มข้น ดุเดือด และเคร่งเครียดได้ขนาดนี้
ไม่ใช่แค่นั้น ตัวบทภาพยนตร์ของมันเองก็น่าทึ่งสุดๆ แต่มันไม่ได้น่าทึ่งในด้านของความสร้างสรรค์หรือความแปลกใหม่ เอาเข้าจริงๆ Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่มีบทและเป้าหมายที่ชัดเจน ง่ายดายสุดๆ แต่ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้นมันกลับหลบหลีกความซ้ำซากจำเจหรือการคาดเดาอันง่ายดายไปได้ตลอดเวลา มันเป็นภาพยนตร์ที่รู้เป้าหมายของตนเองดี โดยไม่พยายามที่จะยัดเยียดบทและตัวละครหรือฟูมฟายกับมันมากจนเกินไป ทั้งยังหลบหลีกความซ้ำซากที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในภาพยนตร์แนวนี้ได้อีก ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ
ตัวนักแสดงนำอย่างไมล์ เทลเลอร์เองก็ถือได้ว่ายกระดับการแสดงขึ้นมามากจากภาพยนตร์เรื่องก่อนที่ผู้เขียนได้เห็นเขาอย่าง Divergent ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาค่อนข้างจะรับบทที่หนักพอสมควร โดยเฉพาะการที่เขาจะต้องปะทะกับตัวละครอย่างเฟลชเชอร์ ซึ่งหมายถึงการโดนตะโกนด่าทอใส่หน้าตลอดเวลา จึงไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายอย่างแน่นอน และเขาก็ถือได้ว่าแสดงผลงานได้น่าประทับใจทีเดียว
แต่บุคคลที่เป็นพระเอกและโดดเด่นอย่างแท้จริงทางด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ เจเค ซิมมอนส์ ซึ่งรับบทเป็นเฟลชเชอร์ การแสดงของเขาใน Whiplash เรียกได้ว่าทรงพลังและน่าทึ่งเป็นที่สุด ผู้เขียนไม่อาจที่จะนึกนักแสดงท่านใดที่จะเหมาะสมไปกว่าเจเค ซิมมอนส์ได้เลยในบทบาทนี้ ซึ่งนั้นก็ทำให้ตัวละครของเขายิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เพราะนี้คือการแสดงในระดับที่ควรจะถูกนำเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในเวทีต่างๆเลยทีเดียว
ในท้ายที่สุดแล้ว Whiplash ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์คุณภาพที่อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีถ้าหากว่ามันไม่ได้เป็นอยู่แล้วในตอนนี้ มันเป็นภาพยนตร์ที่คอหนังทุกคนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความเข้นข้นของมัน หรือบทภาพยนตร์อันน่าทึ่งของมัน และโดยเฉพาะการแสดงอันน่าจดจำของเจเค ซิมมอนส์ที่สอนให้รู้ว่า ความฝันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไขว่คว้ามาง่ายๆ แต่มันจะต้องแลกมาด้วยจิตใจ วิญญาณ ร่างกายและเลือด เสมือนกับประโยคที่เขาได้พูดเอาไว้ในภาพยนตร์ว่า "ไม่มีสองคำในภาษาอังกฤษคำไหนจะโหดร้ายมากไปกว่าคำว่า Good Job"
Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]
อ่านบทวิจารณ์เก่า ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆและติดตามแฟนเพจได้ที่นี้ครับ
http://fallsdownz.blogspot.com/
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
เมื่อใกล้สิ้นปีเข้ามาเรื่อยๆแล้ว นอกจากภาพยนตร์กระแสหลักจะปล่อยภาพยนตร์ใหญ่ยักษ์ที่หลายๆคนรอคอยมาให้เราชมส่งท้ายปีกันแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่พยายามจะมาเปิดตัวสร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์และผู้ชมทั้งหลายจนส่งผลต่อไปถึงงานรางวัลใหญ่ๆในปีหน้าอย่างเช่นออสการ์เช่นกัน ซึ่งปีนี้ก็มีภาพยนตร์ที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยมนำหน้าไปก่อนแล้วอย่าง Boyhood และเสียงตอบรับก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะดีมากๆ คราวนี้ก็ถึงตาภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า Whiplash จะได้เฉิดฉายสู่สายตาชาวโลกกันบ้าง
สิ่งที่น่าประทับใจมากสุดสำหรับตัวผู้เขียนในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ ความสนุก ตื่นเต้นและเข้มข้นของตัวมัน Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกสนุก น่าติดตาม และตรึงผู้ชมได้อยู่หมัดตลอดเวลา ด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่หวือหวาจนน่ารำคาญ แต่ยังคงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นอย่างเข้มข้นและไม่ปล่อยมันไป โดยเฉพาะฉากการปะทะกันระหว่างสองตัวละครเอกอย่างแอนดรูว์กับเฟลชเชอร์ที่ดุเดือดเลือดพล่านซะอย่างกับเป็นภาพยนตร์อภิมหาสงครามเจ็ดทัพ มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่ผู้เขียนได้ชมภาพยนตร์ไทยอย่างโหมโรงแต่เปลี่ยนเครื่องดนตรีมาเป็นกลองแทน ผู้เขียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่การฝึกซ้อมตีกลองวงดนตรีวงหนึ่งมันจะเข้มข้น ดุเดือด และเคร่งเครียดได้ขนาดนี้
ไม่ใช่แค่นั้น ตัวบทภาพยนตร์ของมันเองก็น่าทึ่งสุดๆ แต่มันไม่ได้น่าทึ่งในด้านของความสร้างสรรค์หรือความแปลกใหม่ เอาเข้าจริงๆ Whiplash เป็นภาพยนตร์ที่มีบทและเป้าหมายที่ชัดเจน ง่ายดายสุดๆ แต่ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้นมันกลับหลบหลีกความซ้ำซากจำเจหรือการคาดเดาอันง่ายดายไปได้ตลอดเวลา มันเป็นภาพยนตร์ที่รู้เป้าหมายของตนเองดี โดยไม่พยายามที่จะยัดเยียดบทและตัวละครหรือฟูมฟายกับมันมากจนเกินไป ทั้งยังหลบหลีกความซ้ำซากที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในภาพยนตร์แนวนี้ได้อีก ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ
ตัวนักแสดงนำอย่างไมล์ เทลเลอร์เองก็ถือได้ว่ายกระดับการแสดงขึ้นมามากจากภาพยนตร์เรื่องก่อนที่ผู้เขียนได้เห็นเขาอย่าง Divergent ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาค่อนข้างจะรับบทที่หนักพอสมควร โดยเฉพาะการที่เขาจะต้องปะทะกับตัวละครอย่างเฟลชเชอร์ ซึ่งหมายถึงการโดนตะโกนด่าทอใส่หน้าตลอดเวลา จึงไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายอย่างแน่นอน และเขาก็ถือได้ว่าแสดงผลงานได้น่าประทับใจทีเดียว
แต่บุคคลที่เป็นพระเอกและโดดเด่นอย่างแท้จริงทางด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ เจเค ซิมมอนส์ ซึ่งรับบทเป็นเฟลชเชอร์ การแสดงของเขาใน Whiplash เรียกได้ว่าทรงพลังและน่าทึ่งเป็นที่สุด ผู้เขียนไม่อาจที่จะนึกนักแสดงท่านใดที่จะเหมาะสมไปกว่าเจเค ซิมมอนส์ได้เลยในบทบาทนี้ ซึ่งนั้นก็ทำให้ตัวละครของเขายิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เพราะนี้คือการแสดงในระดับที่ควรจะถูกนำเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในเวทีต่างๆเลยทีเดียว
ในท้ายที่สุดแล้ว Whiplash ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์คุณภาพที่อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีถ้าหากว่ามันไม่ได้เป็นอยู่แล้วในตอนนี้ มันเป็นภาพยนตร์ที่คอหนังทุกคนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความเข้นข้นของมัน หรือบทภาพยนตร์อันน่าทึ่งของมัน และโดยเฉพาะการแสดงอันน่าจดจำของเจเค ซิมมอนส์ที่สอนให้รู้ว่า ความฝันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไขว่คว้ามาง่ายๆ แต่มันจะต้องแลกมาด้วยจิตใจ วิญญาณ ร่างกายและเลือด เสมือนกับประโยคที่เขาได้พูดเอาไว้ในภาพยนตร์ว่า "ไม่มีสองคำในภาษาอังกฤษคำไหนจะโหดร้ายมากไปกว่าคำว่า Good Job"
Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]
อ่านบทวิจารณ์เก่า ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆและติดตามแฟนเพจได้ที่นี้ครับ
http://fallsdownz.blogspot.com/
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
แก้ไขล่าสุด 5 พ.ย. 57 19:00 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google