Big Hero 6 ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

6 ธ.ค. 57 18:46 น. / ดู 974 ครั้ง / 2 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
Big Hero 6 ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

"ด้วยการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกากับวัฒนธรรมญี่ปุ่นและความเป็นอนิเมชั่นของดิสนีย์ทำให้ Big Hero 6 เป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ดาษๆทั่วไป"


Big Hero 6 เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจากค่ายดิสนีย์ ซึ่งปีที่แล้วได้สร้างชื่อเสียงกลับมาโด่งดังอีกครั้งจากผลงานอย่าง Frozen ที่พาเอาใครหลายๆคนร้องเพลง Let It Go กันไปอีกนาน แถมเร็วๆนี้ก็จะมีการปล่อยเวอร์ชั่น Sing-Along ร้องเพลงตามตัวละครกันให้สมใจในโรงภาพยนตร์อีกด้วย งานนี้ค่ายดิสนีย์หวังที่จะประทับใจผู้ชมอีกครั้งด้วยภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องใหม่เรื่องนี้ของพวกเขา

Big Hero 6 ว่าด้วยเรื่องราวของฮิโระเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งผูกพันธ์กับหุ่นยนตร์ที่มีชื่อว่าเบย์แม็กซ์ แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น จนทำให้เขาต้องรวมตัวกับเพื่อนๆและสร้างอุปกรณ์ต่างๆเพื่อกอบกู้โลกใบนี้




ต้องพูดเลยว่าในตอนแรก ส่วนตัวก็ไม่คาดคิดว่า Big Hero 6 จะเป็นภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่แบบจริงๆจังๆซักเท่าไรนัก อาจจะเพราะด้วยผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง Frozen ของดิสนีย์ที่ประสบความสำเร็จมากๆ จนคิดว่าผลงานเรื่องต่อมาก็น่าจะคล้ายๆกัน

แต่พอสำรวจจริงๆแล้วกลับพบว่า นี้เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารูปแบบของซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกา กับ วัฒนธรรมญี่ปุ่น มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะออกไปทางฝั่งอเมริกาเสียมากเนื่องจากว่าเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด แต่การผสมผสานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดแน่นอน เพราะมันมักจะแอบซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งในตัวภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่อยู่กันเป็นกลุ่ม สีเสื้อผ้าที่ใช้ เมืองที่ตั้งชื่อว่าซานฟรานโตเกียว จนกระทั่งตัวละครร้ายที่ใส่หน้ากากคาบูกิแถมยังมีท่าทางการต่อสู้อย่างกับหลุดมาจากนารูโตะ

ที่น่าตลกขบขันเข้าไปอีกก็คือในด้านซุปเปอร์ฮีโร่อเมริกาของมันนั้น มีความเป็นมาร์เวลคอมิกซ์ค่อนข้างจะสูงมาก ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยจะน่าแปลกใจซักเท่าไรนัก เพราะมาร์เวลตอนนี้เองก็คือส่วนหนึ่งของดิสนีย์ ยิ่งโดยเฉพาะการมาของตัวละครสุดดังอย่างแสตน ลี ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นมาร์เวลในตัวภาพยนตร์เข้าไปอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว




ถึงกระนั้นก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่ Big Hero 6 ดูเหมือนว่าพอนำเอารูปแบบของภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวมันก็ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปจากวังวนแห่งความจำเจและซ้ำซากของบทภาพยนตร์ไปได้ซักเท่าไรนักเลย ถึงแม้ว่ามันจะผสมผสานวัฒนธรรมใหม่ๆเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วบทของมันก็ยังคงเล่าและพูดถึงแต่เรื่องเดิมซ้ำๆซากๆ การดำเนินเรื่องที่เดิมๆ บทสรุป เหตุและผลของเรื่องที่ยังคงไม่มีอะไรใหม่สำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้เลย ซึ่งปัญหาชนิดนี้ดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของภาพยนตร์ประเภทนี้ไปเสียแล้ว

ถือได้ว่ายังโชคดีที่ตัวมันได้ความโดดเด่นจากด้านเทคนิคภาพยนตร์อนิเมชั่นซึ่งเป็นของถนัดของดิสนีย์เข้ามาช่วยโอบอุ้มเอาไว้บ้าง เช่นการเคลื่อนไหวของตัวละครและสิ่งต่างๆที่ยังคงลื่นไหลไม่มีที่ติ การออกแบบตัวละครที่น่าสนใจ หรืออารมณ์ความอบอุ่นของครอบครัวก็ช่วยส่งเสริมทำให้ตัวภาพยนตร์มีสีสันมากกว่าที่มันควรจะเป็นอยู่พอสมควร




น่าแปลกใจไม่ใช่น้อยที่เมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ผู้เขียนกลับพบว่าตัวเองประทับใจกับอนิเมชั่นสั้นๆเรื่อง "Feast" ที่ฉายตอนก่อนจะเข้าตัวภาพยนตร์ Big Hero 6 เสียมากกว่าตัว Big Hero 6 เองเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม Big Hero 6 ก็ยังเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ทำได้ไม่เลวอีกครั้งของดิสนีย์ ด้วยการผสมผสานวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และเทคนิคทางด้านอนิเมชั่นที่ยังคงยอดเยี่ยม แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหากสิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกฉุดลงมาด้วยบทภาพยนตร์อันซ้ำซากเสมือนวังวนอันไม่มีที่สิ้นสุดของภาพยนตร์ประเภทนี้

Final Score :  B +


ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆในอนาคต และอัพเดทข่าวหรือตัวอย่างวงการภาพยนตร์/เกมได้ที่แฟนเพจเลยครับผม
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
http://fallsdownz.blogspot.com/
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | delkizerz | 9 ธ.ค. 57 11:05 น.

คอหนัง Annimation ห้ามพลาด

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | เลเซอร์บีม | 27 ธ.ค. 57 18:15 น.

ถ้าเรื่องนี้จบแค่ภาคนี้ภาคเดียว จะถือว่าไม่สุดมากๆค่ะ อารมณ์เหมือนอารัมภบทอ่ะ โชว์แอคชั่นกันไม่เต็มที่ ตัวเอกกับลูกทีมก็ไม่ได้ร่วมพลังกันเท่าที่ควร ยัดดราม่าแบบกรีดใจ แต่ก็ดราม่าไม่ค่อยสุดต้องกลับมาที่คอนเสปอบอุ่นอยู่ดี

แต่ถ้ามีภาคต่อ(หนังมาร์เวลส่วนมากจะชอบภาคต่อ แต่ดิสนี่ย์คลาสสิคนั้นไม่ค่ะ) แต่งบทเองซะหน่อย (ตัวละครบางตัวจะหายไปเพราะยึดตามคอมมิคค่ะ ถึงจะสำคัญกับตัวเอกมากๆ ไหนๆในฉบับหนังก็แค่หยิบชื่อมาเฉยๆกับลักษณะภายนอกพอหยุมหยิม ดังนั้นก็แต่งใหม่ให้กลับมามีบทในภาค 2 ก็น่าจะดีนะคะ) เพิ่มฉากแอคชั่นสวยๆ เกราะอัพเกรดหน่อย เพิ่มความสัมพันธ์ตอนสู้ให้กับทั้งทีม เพิ่มตัวร้ายเยอะๆ ก็จะส่งให้ดูเริ่ดในทั้งสองภาคเลย

ถึงจะว่าไปยังไงเรื่องนี้ก็เรียกน้ำตาและเป็นแอนิเมชั่นที่ส่วนตัวชอบที่สุดในปีนี้ไปแล้วค่ะ ถ้าชอบงานซึ้งเรื่องนี้ก็คงเป็นที่หนึ่งสำหรับทุกคน แต่ถ้าชอบงานสร้างสรรค์ก็น่าจะยังแพ้ The Lego Movie นะคะ

แก้ไขล่าสุด 27 ธ.ค. 57 18:17 | ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google