[Review Album ฉบับผ่าไส้ใน] Trilogy - The Weeknd (น18+)

26 ธ.ค. 57 12:31 น. / ดู 4,488 ครั้ง / 3 ความเห็น / 1 ชอบจัง / แชร์
เพราะหวือหวา ถึงได้น่าสนใจ

อัลบั้มที่เรากำลังจะรีวิววันนี้มันเป็นอัลบั้มเก่าแล้วล่ะ release ออกมาตั้งแต่ปี 2012 ของนักร้องหนุ่มอาร์แอนด์บีชาวแคนาเดียนที่มีชื่อว่า The Weeknd (สะกดถูกแล้ว) กับอัลบั้มที่มีชื่อว่า Trilogy หลายๆคนสงสัยว่า The Weeknd **หมอนี่มันครายยยย อะรายยยย อะรายยยย แต่ถ้านึกถึงเพลง Love Me Harder ของน้องอาเรียน่าล่ะก็ ต้องร้องอ๋อทันที **หนุ่มเสียงแหลมสะท้านทรวงคนนี้นี่เอง The Weeknd ไม่ใช่วงดนตรีนะฮับ แต่เป็นนักร้องเดี่ยวที่มีชื่อว่า Abel Tesfaye ที่มาพร้อมกับแนวเพลง PBR&B (PB ย่อมาจาก Pabst Blue Ribbon ซึ่งผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน น่าจะเป็นวัฒนธรรมของ Hipster ) หรือที่เรียกกันว่า Hipster R&B Alternative R&B R-Neg R&B ได้หมด ว่าง่ายๆคืออาร์แอนด์บีพันทางนั่นเอง เอาไปผสมกับ Rock EDM Hip-hop ได้ตามสะดวก แนวเพลง Hipster R&B อาจจะยังไม่มีใครรู้จักในวงกว้างมากนัก เพราะเนื่องจากมันแนวดนตรีทางเลือก สำหรับศิลปินที่มาทางแนวนี้ก็อาทิเช่น Frank Ocean , Miguel , Jhene Aiko , Janelle Monae และ How To Dress Well พูด PBR&B มาพอสังเขปแล้วมาเข้าเรื่อง The Weeknd ต่อ 

นอกจากจะมีเพลงฟีทอย่าง Love Me Harderแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไปร่วมแจมกับศิลปินหลายคนเหมือนกันเช่นเพลง Crew Love ของ Drake ในอัลบั้ม Take Care และRemember You ของ Wiz Khalifa ในอัลบั้ม O.N.I.F.C ไปร่วมทำเพลงซาวน์ดแทร็คในหนังเรื่อง Catching Fire ถึง 2 เพลง Elastic Heart ของป้า Sia และ Devil May Cry ซึ่งเพื่อนๆหลายคนก็น่าจะติดใจเสียงของ Abel อยู่ไม่น้อย วันนี้ผมจะมารีวิวผลงานชุดก่อนของเฮียกัน



[color=#FA8072]Trilogy จริงๆแล้วเป็นการนำ mixtape ทั้ง 3ชุดของ Abel มารีมาสเตอร์ใหม่เป็น LP ทางการไปซะเลย ซึ่งประกอบไปด้วย [color=Black]House Of Balloons
, Thursday และ Echoes Of Silence เพราะฉะนั้นทั้ง 3 แผ่นนี้คอนเซปต์ตัวใครตัวมันจะไม่เชื่อมโยงเข้าหากันครับ 

สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจหันมาฟังอัลบั้มชุดนี้ก็คือ ผมฟังเสียงเฮียแกจากเพลง Crew Love และ Remember You แล้วติดใจมากๆ และตัวผมเองก็ชอบเพลงดาร์กเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยไม่ยากที่จะเปิดใจรับฟังผลงานชุดก่อนของศิลปินจอมฟีทรายนี้  แถมตัวอัลบั้ม Trilogy ที่วางแผงในไทยก็โคตรถูกมากเพียงแค่ 390 บาท ในนั้นมี 3 แผ่น ว้าวอะไรจะถูกประมาณนั้น 3 แผ่นป่านนี้เค้าขายเกือบพันบาทไปแล้วว ผมคิดว่าน่าจะคุ้มดี ผมก็เลยสอยมาซะเลย แล้วผลปรากฎว่ามันก็คุ้มจริงๆฮับ แต่มันน่าจะคุ้มสำหรับคนที่ชอบเพลงดาร์กๆอย่างผม แต่มันคงไม่คุ้มแน่สำหรับคนที่โลกสวย เซนส์ซิทีฟ ชอบฟังเพลงใสๆไรประมาณนี้ ผมไม่ได้ว่าหรือดูถูกแต่อย่างใด เพียงแค่อยากจะบอกว่าอัลบั้มชุดนี้มันเต็มไปด้วยด้านมืดของมนุษย์ มันไม่ได้พูดถึงเรื่องสวยๆงามด้านหน้าตาความคิด ชื่นชมเชิดชูผู้หญิงเหมือนกับ Bruno Mars หรือ Ne-yo แต่สำหรับ Abel พูดถึงผู้หญิงหากินกลางคืน ชอบเที่ยวกลางคืน ปาร์ตี้ กินเหล้า เมายา เซ็กส์กับชายไม่เลือกหน้า ผู้หญิงดีแตก ว่าง่ายๆชีวิตของ**หมอนี่เต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่อันตรายทั้งสิ้น ทั้งยาทั้งหญิงเลว เพลงของ Abel จึงเต็มไปด้วยคำผรุสวาทเต็มไปหมด เอาออกอากาศในวิทยุแถบไม่ได้เลยล่ะ แถบไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่สื่อออกมาจะมาจากปากของศิลปินที่มีอายุแค่ 21 ปีเท่านั้นTrilogy จึงจัดเต็มความดาร์กทั้ง 3 แผ่นเอาแบบให้เอียนกันไปเลย แน่นอนว่าชุดนี้มันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะฟังเพื่อรีแล็กซ์ เพราะคุณอาจจะหลอนจากการฟังจนพารานอยด์กันเสียเปล่า[/color]

รีวิวครั้งนี้ของผมจะเป็นการผ่าแพ็คเกจอัลบั้มเอามาให้ดูกันด้วย ซึ่งผมชอบแพ็คเกจอัลบั้มชุดนี้มากเหมือนเค้าใส่ใจรายละเอียดดี  มันมีข้อมูลเชิงลึกมากพอสมควร ทำให้เห็นภาพคอนเซปต์มากขึ้น ไม่ใช่ศิลปินบางรายที่สักแต่ใส่ชื่อเครดิต ถ่ายแบบเก็กหล่ออวดเท่บนหน้าปกก็เท่านั้น สำหรับ Abel นั้นไม่ใช่ ถึงแม้ว่าตัวเพลงจะว่าด้วยเรื่องไม่ดีผิดศีลธรรมก็ตาม แต่ถ้าแพ็คเกจดีขนาดนี้ผมเองก็เกลียดไม่ลงหรอกฮับ  มาที่ Disc 1  House Of Balloons





แค่ดึงแผ่นออกมาผมก็ประทับใจแล้ว (ประทับใจตรงไหน**จขกท.) ตรงที่เค้าใส่ใจรายละเอียดเนี่ยแหละคร้าบอย่างที่ผมเคยบอกไว้ ลองสังเกตดู ดึงออกมาปุ๊บก็เห็นแถบสีทันทีเป็นเทาดำ ซึ่ง Abel ต้องการจะสื่อถึงตัวแทนของด้านมืดของมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด  ถ้าคุณได้ฟังเพลงของ The Weeknd คุณจะเห็นภาพได้ชัดมากๆครับ มันเต็มไปเหล้า ยา เซ็กส์ ราคะ เรื่องบาปๆทั้งน้าน แม้แต่แผ่นซีดีพี่แกก็ใส่สัญลักษณ์ที่เป็นคอนเซปต์ของอัลบั้มไว้บนแผ่นด้วย Oh ผมนี่ยกนิ้วให้เลย 

ส่วนภาพหน้าปกชุดนี้แน่นอนครับว่า เมื่อคืนหนักไปหน่อยสำหรับผู้หญิงคนนี้ เมาหัวราน้ำนอนลงอ่างเลยเชียว ตัวลูกโป่งนั้นไม่ได้มีไว้ประดับประดาไว้พร่ำเพรื่อ มันเป็นการสื่อคอนเซปต์ของอัลบั้มชุดนี้ต่างหาก ซึ่งเป็นสีเดียวกับ**แถบสีที่ผมได้บอกไว้เมื่อซักครู่ แน่นอนครับว่าชุดนี้ต้องดาร์กจัดเต็มแน่นอน





กระทู้นี้ติดเรท น18+ เนื่องจากจขกท.อาจใช้คำหยาบอยู่บ้าง และพูดถึงเรื่องเซกส์ยาปาปิ้งเยอะ เพราะอัลบั้มชุดนี้มันว่าด้วยเรื่องพวกนั้นจริงๆ เตือนด้วยความปราถนาดีครับ จขกท.เองก็ไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว แค่ฟังแล้วมาบอกให้ฟังเฉยๆ

High For This แทร็คเปิด House Of Balloons ที่มาพร้อมกับริทึ่มหลอนๆชวนลึกลับอยู่ไม่น้อย High For This เป็น Double Meaning ฮับ อย่างแรกคือ มีอะไรกับพี่บนเตียง อีกอย่างคือ Abel ตั้งใจจะสื่อให้คนฟังว่า เตรียมพบกับประสบการณ์ฟังเพลงที่คุณจะต้องรู้สึก High กับเพลงของ Abel อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั่นเอง (อันนี้ดูจาก Genius.com มา)

What You Need ริทึ่มโคตรโดน Dream Pop ฟังแล้วชวนเคลิ้มสุดๆแบบที่ผมไม่เคยฟังมาก่อน  แทร็คนี้ผมชอบเปิดซ้ำครับ บอกเลยว่าอย่าข้าม ต่อด้วย Title Track อย่าง House Of Balloons/Glass Table Girl เพลงจังหวะดิบๆ แทร็คติด Explicit แทร็คแรกที่แรงและน่ากลัวด้วย มันทำให้ผมเห็นภาพชัดเจนเลยล่ะ ปาร์ตี้ในสไตล์ของ Abel มันไม่ใช่มานั่งดื่มเป็บซี่ กินอาหารบุ๊ปเฟ่ต์ กินขนมหวาน เล่นเก้าอี้ดนตรี แล้วจบๆกัน แต่สำหรับ Abel เราจะได้เห็นคนนั่งสูดผงขาว สูบกัญชาควันโขมง หรือแม้กระทั่งเห็นคนซั่มกันแบบไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น ดาร์กสุดๆครับ บีทอาจจะยังไม่แหล่มในช่วงแรก แต่พอเข้าถึงพาร์ทต่อไปอย่าง Glass Table Girl ตบด้วย Dubstepก็พอมีอะไรแหล่มๆบ้าง บวกกับการแร็พอันเนือยๆของ Abel อย่างไรก็แล้วแต่แทร็คนี้ก็ยังไม่ดีที่สุดอยู่ดี



The Morning ถึงชื่อเพลงจะออกแนวสว่าง แต่ตัวเพลงก็ไม่สว่างซะทีเดียวออกไปในทางขาวกับดำมากกว่า บีทเสียงอู๊ดๆประกอบเพลงกันไป ฟังเพลินๆก่อนที่จะถึงซิงเกิ้ลที่หลายคนรอคอย Wicked Game เสียงกีตาร์ไฟฟ้า ประกอบกับเสียงอันแหลมของ Abel ช่างจี๊ดสะท้านใจซะเหลือเกิน ใครฟังครั้งแรกก็สะใจกันถ้วนหน้าครับ และท่อนที่ร้องว่า Bring the love baby I will bring you drank, Bring the drug Baby I will bring you pain กลายเป็นท่อนที่ติดหูผมแล้วเรียบร้อย ยังพอจับสาระได้หน่อย

The Party/After Party เพลงฟังสบายๆแต่เนื้อหา เอิ่มก็ยังคงดื่ม ซู้ด เซกส์กันต่อเช่นเคยไปจนเช้า เฮ้อออ เพลงโคตรยาวออกแนวยืดไปหน่อย Coming Down อันนี้กูก็กำลังหลอนยาซะเต็มที่เลย แต่เสียงพี่แกบวกกับริทึ่มของเพลงก็หลอนอยู่ในหัวผมแบบไม่รู้ตัวด้วย เจ๋งฮะ ฟังแล้วติดเลย

The Loft ผมชอบแซมเปิ้ลเพลงนี้มากเลย มันดูน่ารักดี จังหวะTrip hop ชวนโยกอยู่ไม่น้อย แต่ตอนท้ายดันโหยหวนนานไปหน่อย ผมก็เข้าใจนะว่าพี่แกพยายามจะให้เชื่อมกับเพลงต่อไปอย่าง The Knowing แทร็คนี้ถูกใจแฟนเพลง The Weeknd พอสมควรครับรวมถึงผมด้วย เป็นเพลงที่Abel ใส่อารมณ์ได้สะใจมากๆ ดนตรีก็ดึงเพลงจริงๆ มันทำให้เพลงนี้พีคจริงๆ เนื้อหาก็โอเคหน่อย กรูรู้นะว่า**มีชู้ แค่นั้น น่าจะถูกใจ



และแล้วก็มาถึงแทร็คที่ผู้อ่านรอคอยอย่าง Twenty Eight แทร็คนี้มาแบบเงียบแล้วค่อยๆจี๊ดนิดๆ โดยเฉพาะเสียงของ Abel ทำผมจั๊กกะจี้ซะเหลือเกิน เสียงเฮียแอบหมือน Michael Jackson เวอร์ชั่นหม้อสาว  แทบจะเป็นเงาเสียงเลยด้วยซ้ำ ส่วนเอ็มวีล่ะก็เตรียมเลือดกำเดาไหลเลยล่ะ 555 ถ้าใครได้ดูแล้ว เข้าใจตรงกันนะว่าผมหมายถึงอะไร

https://www.youtube.com/watch?v=O1OTWCd40bc

https://www.youtube.com/watch?v=2_ScGcuXZqc

สำหรับ House Of Balloons นั้นถือว่าผ่านมาตรฐาน มีเพลงติดหูเยอะ ใช้แซมเปิ้ลประกอบเพลงได้ดี มีความเย้ายวนอยู่ไม่น้อย แต่จุดเสียมันอยู่ตรงที่เพลงยาวนี่แหละครับที่ใช้ได้ไม่คุ้มค่าซะเท่าไหร่ ออกแนวเหมือนไม่มีอะไรจะทำเลยทำให้ตัวเพลงยังไม่ได้ใส่ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่  จะเห็นได้ว่า  House Of Balloons ชุดนี้สื่อถึงด้านมืดของงานปาร์ตี้ที่มันเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่อันตรายและยุ่งเหยิงของปาร์ตี้ที่หลายๆคนอยากไปนักไปหนา แต่หาความสุขอะไรไม่ได้จากงานๆนั้น ก็ไม่ต่างกับผู้หญิงสภาพเปลือยที่นอนอยู่ในอ่างน้ำตามหน้าปกอัลบั้ม เห็นแล้วก็ออกแนวสยองมากกว่าสนุกสนานนะฮับ ผมเชื่อว่าถ้าใครรับไม่ได้กับเพลงที่ว่าด้วยเรื่องพวกนี้ล่ะก็อาจจะเกลียดชุดนี้ไปโดยปริยายครับ (อยากจะบอกว่านี่เพิ่งเริ่มต้น 555)

ถ้าเปรียบเปรยงานชุดนี้กับหนัง หนังเรื่องนี้ก็คงเป็นหนังฟิล์มนัวร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องพรรค์นั้นนั่นเอง

Top Track :  Wicked Game ,  The Knowing ,  Twenty Eight ,  What You Need and The Loft

Give  (8/10)  (Dark,Thriller,Temptation and Lustful)
แก้ไขล่าสุด 23 ส.ค. 58 11:55 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | IamIstyle | 26 ธ.ค. 57 12:34 น.





มาดูแผ่นที่ 2 กันบ้าง  [color=Black]Thursday จากแถบสีจะพบว่า ค่อนข้างออกไปในโทนสดใสซะนิดนึง แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ ยังคงดาร์กเหมือนเดิม คราวนี้จะโฟกัสไปที่ผู้หญิงบ้างครับ ถ้าเป็นปกในแพ็คเกจอาจจะยังไม่เห็นภาพชัด ผมได้โพสปกอีกเวอร์ชั่นนึงที่จะมีทั้งวันพุธ พฤหัส และศุกร์ สังเกตได้ว่าวันไหนที่ไม่ใช่วันพฤหัสจะออกแนวเซ็งๆ ยิ่งวันศุกร์นี่ยิ่ง sad เลยล่ะ ชุดนี้กำลังบอกว่า Lifestyle ของ The Weeknd ซั่มสาว**ทุกวันฮับ แต่ละวันก็ไม่ซ้ำหน้ากันในแต่ละวัน เสร็จแล้วก็เสร็จๆไปแต่ละวัน น้ำแตกก็ตัวใครตัวมัน แต่มีสาววันพฤหัสนั่นซิครับที่กลับหลงรัก The Weeknd โดยที่ไม่รู้ว่าเฮียแกไม่ได้ให้ใจเลย แค่อยากจะฟันสนอง need เฉยๆ แล้วมันก็นำพาไปสู่เรื่องเลวร้ายเกินคาดเดา[/color]



Lonely Star แทร็คเปิดที่จะทำให้เราได้รู้จักตัวละครสองสมมติ 2 ตัว สาวประจำวันพฤหัส และ The Weeknd ในเพลงจะบรรยายว่าสาวคนนี้ดูแตกต่างจากวันอื่นๆที่ The Weeknd เคยเจอมา ดูเหมือนอยากจะพร้อมยอมพลีกายให้พี่แกเพียงคนเดียว เพลงนี้สาดซาวน์ดกีตาร์ไฟฟ้าแบบไม่เกรงใจใครเลย เพลงนี้ได้ถูกใช้เป็นแซมเปิ้ลในเพลง Exodus ของ M.I.A ด้วยครับ ต่อมาก็ไปเมายากันต่อในงานปาร์ตี้ในเพลง Life Of Party เจือด้วยเสียง autotune น่าจะสื่อถึงกำลังเมาเยิ้มเลยล่ะ เต้นแร้งเต้นกาก็ว่ากันไป ต่อมาก็เป็น title track ประจำอัลบั้มชุดนี้ Thursday  เพลงสไตล์ Smokey Dream Pop  จังหวะเคาะเปียโนเด่นเลยเชียว แต่ผมฟังแล้วออกแนวหลอนๆมากกว่าเคลิ้มอีกนะครับ ยอมรับครับว่าไม่กล้าฟังเพลงนี้คนเดียวในตอนกลางคืน The Weeknd กำลังจะบอกกับสาวคนนั้นว่า แน่ใจหรอว่าเธอจะยอมเป็นสาววันพฤหัส ถือว่าเป็นแทร็คที่เด่นอยู่ไม่น้อย

https://www.youtube.com/watch?v=tfrWuiQ4QNc

The Zone ผมยอมสารภาพเลยครับว่าผมเริ่มฟัง The Weeknd เพลงนี้เป็นเพลงแรก เพราะมีตา Drake มาร่วมแจมด้วย เป็นแทร็คเด่นที่สุดในชุดนี้เลยล่ะครับ Dream Pop ที่ใครก็ต่างเคลิ้ม แถมยังได้เฮียเดรกมาร่วมแร็พแจมแก้เลี่ยนได้ดีทีเดียว ส่วนเอ็มวีเพลงนี้ก็ออกไปในทางลึกลับ ไม่ชอบมาพากลอยู่พอสมควร แต่ทำไมไม่ให้พี่เดรกโผล่มามากกว่านี้ ซูมแค่ที่ปาก ปัดโถ่  ถ้าคุณอยากเริ่มฟังหนุ่มคนนี้ เพลงนี้ก็เป็นตัวเลือกแรกๆครับ

ต่อมาก็เข้าเพลงที่เป็นหัวใจหลักสำคัญของมิกซ์เทปชุดนี้ The Bird ซึ่งแบ่งออกเป็นสองพาร์ทด้วยกัน  Part แรกเป็นการบอกเตือนแม่หนูพฤหัสว่า อย่าหลงรักพี่เลยนะ พี่มันผู้ชายลั้ลลา  555 เอาฮาครับ ส่วน Part 2 จะเป็นตอนจบของอัลบั้มชุดนี้ครับ อีนางหนูวันพฤหัสกำลังจะฆ่าตัวตายครับ ที่เฮีย Weeknd ไม่ได้มีใจให้ตั้งแต่แรก ผมเองก็แอบขำครับ ไม่ได้บ้า แต่เนื้อเรื่องมันออกแนวละครไทยเอามากๆ 555  ออกแนวโศกนาฏกรรมที่ฟังครั้งแรกแล้วก็ออกแนวทำร้ายจิตใจไปหน่อยกับการที่ให้ผู้หญิงฆ่าตัวตายซึ่งมันไม่ขรรมเลย แต่ผมมองโลกในแง่ดี อ่อมันก็ไม่ต่างอะไรกับละครหลังข่าวนี่หว่า 5555 ขรรมแป๊บ

ส่วน 3 แทร็คถัดไปเป็นแทร็คที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลยครับ มันไร้แก่นสารเอามากๆ (แค่นี้ก็ไร้แก่นสารแล้วนะ) สำหรับเพลงอื่นยังพอรับได้ เพราะมีอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง แต่สำหรับ 3 แทร็คนี้ดูไม่มีอะไรเลยฮับ ไม่ว่าจะเป็น Gone เพลงที่มีความยาวโคตรๆถึง 8 นาที แทนที่เราจะได้เห็นอะไรที่ Epicแต่กลับใช้เวลาอย่างทิ้งๆขว้างอย่างน่าเสียดาย Rolling Stone ซาวนด์โคตรน่ารำคาญเลยล่ะครับ เรื่องเนื้อหานี่ก็ไม่ต้องพูดถึงดูด weed เสพยาอีกกแล้ว เฮ้อ Heaven Or Las Vegas ก็อุดมไปด้วยออโต้จูนซะเยอะจนไม่ได้เห็นการโชว์พลังเสียงของเฮียเลย ฟังฆ่าเวลาชัดๆ

มาดูแทร็คสุดท้ายกันบ้าง Varelie แทร็คนี้ยังพอได้ครับ ออกแนวคล้ายกับ MJ เป๊ะเลยล่ะเพลงนี้เป็นเพลงช้าๆ โหยหาผู้หญิง เสียงพี่แกแอบบีบอารมณ์นิดนึง แต่ก็ยังดีกว่า 3 แทร็คก่อนหน้านั้นก็แล้วกัน

จริงๆแล้วชุดนี้เป็นชุดที่ผมชอบน้อยที่สุดครับ ถ้าเปรียบเปรยกับหนัง หนังเรื่องนี้ก็คงเป็นหนังเกรดบีที่ออกแนววกวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ดูเป็นการทำร้ายจิตใจคนฟังไปนิดนึง  ไม่มีอะไรจะพูดต่อสำหรับชุดนี้

Top Track : The Zone (Ft.Drake) & Thursday

Give (7/10)






มาถึงแผ่นสุดท้ายกันแล้ว Echoes Of Silence คราวนี้มาในโทนสีแดงดำแสดงถึงความร้อนแรงและอันตรายในเวลาเดียวกัน จะเห็นได้ว่าชีวิตของ Abel เต็มไปด้วยเรื่องยา เซ็กส์กับหญิงไม่เลือกหน้า ย่อมเป็นอันตรายต่อหนุ่มคนนี้อยู่แล้ว จากชุดที่แล้วอย่าง Thrusday มีหญิงมาบอกรัก แต่คราวนี้Abelเป็นฝ่าย hurt บ้างครับ คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถ้าเสียงตอบรับจะออกมาเป็นความเงียบ มันคงเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย (สมน้ำหน้า) คอนเซปต์ชุดนี้ค่อนข้างโอเคและพอจับแก่นสารได้บ้าง ไม่เหมือนกับชุดก่อนที่วกวนแต่เรื่องเหล้า ยา ปาร์ตี้  แถมดนตรีในชุดนี้ฟังลื่นกว่า 2 ชุดที่แล้ว โปรดักชั่นดีขึ้น แต่ยังคงความดาร์กเหมือนเดิม

มาเริ่มที่ D.D เป็นเพลง cover เพลงต้นฉบับ Dirty Diana ของ MJ ถือว่ากล้ามากๆที่คอฟเวอร์เพลงของราชาเพลงป็อบผู้เป็นตำนาน ผลลัพธ์ที่ได้ โอ้พระเจ้า มันสุดติ่งมาก ผมนี่ลุกขึ้นยืนเลย นี่เป็นการคอฟเวอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมา ถ้าไม่รู้มาก่อน ผมนึกว่า MJ ฟื้นคืนชีพมาร้อง Dirty Diana เลยนะเนี่ย บีทเพลงนี้ก็กระหน่ำใส่แบบไม่ยั้งเลย ไม่เคยฟังเพลงcover ที่ให้ความรู้สึกสะใจแบบนี้มาก่อน มีของเด็ดตั้งแต่เปิดอัลบั้มเลยนะเนี่ย สุดยอด ถ้าไม่ฟังถือว่าผิด

Montreal นี่ก็เจ๋ง ซาวนด์เปียโนฟังลื่นมาก เสียงของ Abel มันช่างเคล้ากับเปียโนได้ดีมากๆ ฟังได้เพลินตลอดทั้งเพลง จนลืมนึกไปว่าจบเพลงแล้วขึ้นเพลงต่อไปอย่าง Outside อันนี้ออกแนวลึกลับหน่อย เปลี่ยวสมชื่อเพลง มีบีทเคาะเจือเบาๆ ชอบคอรัสเพลงนี้มาก ดูมีมิติดี

พอออกมาจากบ้านแล้วก็มางานปาร์ตี้ต่ออีกแล้วในเพลงยาว 6 นาทีอย่าง XO/The Host ในช่วง XO จะเป็นการแนะนำให้รู้จักแกงค์ของ Abel ที่มีชื่อว่า XO แล้วค่อยๆบิดเบี้ยวซาวน์ดไปเรื่อยๆ ออกแนวไม่ชอบมาพากลในช่วง The Host เหมือนเป็นเป็นการขอให้แขกผู้หญิงรายนั้นทำแบบทดสอบอะไรซะอย่างตามที่ Abel ขอ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่นอน ซึ่งจะเป็นตัวเชื่อมเพลงต่อไปอย่าง Initiation ถ้าใครไม่ชินหรือไม่ชอบเสียงออโต้จูนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณอาจจะเกลียดเพลงนี้ไปเลยก็ได้ ฟังแล้วอาจมึนๆนิดๆ เสียงอันบิดเบี้ยวน่าจะสื่อถึง Abel สูดยาหนักเกินไปครับ เพลงนี้แรงงงส์ คนโลกสวยอาจเมินหน้าหนีเลยล่ะ ผมเกือบลืมเรื่องเนื้อหา **แบบทดสอบที่ว่าคือ สาวๆต้องรับมือกับ Lifestyle อันยุ่งเหยิง ของ The Weekndเต็มไปด้วยปาร์ตี้ ยาทั้งหลาย รวมไปถึงต้องเข้ากับแก๊งค์เพื่อนๆ XO ให้ได้ ซึ่งแต่ละคนก็โคตรเถื่อนเลยล่ะครับ คงเข้าสุภาษิตที่ว่า แถวนี้**เถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ ประมาณนั้นเลยล่ะครับ

Same Old Song หนึ่งในเพลงเด่นประจำชุด จะไม่ให้เด่นได้ไง ซาวน์ดอินโทรเท่ๆ ท่อนฮุคติดหูมากๆจนผมร้องตามเลย  เนื้อหาตัดพ้อผู้หญิงที่เคยทิ้งAbel ไปแต่อยากกลับมาคืนดีด้วยตอนที่เฮียแกดัง เนื้อหาถือว่าใช้ได้เลยล่ะ ได้ Juicy J มาพล่ามปิดท้ายด้วยครับ

The Fall เนื้อหาเพลงก็ใช้ได้ ตรงที่สารภาพตรงๆกับแม่ของ Abelว่า ชีวิตผมมันช่างมีบาปหนาซะเหลือเกินครับแม่  ไม่รู้แม่รับได้อ่ะเปล่า (ผมว่าไม่ได้)

Next เพลงนี้ก็ถือเป็นทีเด็ดอีกเหมือนกันครับ เปียโนเพลงนี้มันช่างไพเราะซะเหลือเกิน ไม่หลอนจนเกินไป ฟังได้ลื่นติดหู Abel ถ่ายทอดอารมณ์ได้อยู่มัด ส่วนเนื้อหาก็ตัดพ้อหญิงเหมือนเดิมครับ เธอไม่ได้ต้องการชั้นจริงๆหรอก ชั้นมันก็แค่ The Next Big Thing ในสายตาก็เท่านั้น โดนครับ เป็นเพลงที่ห้ามกด Nextข้ามไปเพลงอื่นเลยล่ะ

มาถึง Title Track อย่าง Echoes Of Silence ดราม่าจัดเต็มมากครับ ริทึ่มฟังแล้วขนลุก ทรงพลังมากๆ บิ้วด์อารมณ์เศร้าเต็มๆ บีบอารมณ์หว้าเหว่ ว่างเปล่าและเดียวดายได้เต็มๆ นับว่าเป็นแทร็คสรุปคอนเซปต์ที่ทำได้ดี ปิดท้ายด้วยแทร็คแถมอย่าง Till Dawn (Here Comes The Sun) เพลงนี้ผมก็ชอบ บีทติดหูมากๆ เป็นแทร็คปิดท้ายที่จบได้อย่างลงตัวจริงๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่แทร็คแถมแต่ผมกลับมองว่าเพลงนี้เหมาะเหม็งกับการเป็นแทร็คปิดไตรภาคแห่งกิเลสตัณหาได้ดีจริงๆ

https://www.youtube.com/watch?v=COjAdgTe8Dk

Echoes Of Silence ถือเป็นมิกซ์เทปที่ผมชอบมากที่สุดในชุด trilogy สิ่งที่ผมชอบคือ คอนเซปต์ของอัลบั้มจะดูชัดเจนกว่าชุดที่แล้ว โปรดักชั่นแหล่มกว่า และเนื้อหาโอเคกว่าถ้าเทียบกับชุดก่อนที่ออกแนววกวนกับเรื่องยามากเกินไป แต่สำหรับชุดนี้พอมีประเด็นอื่นๆให้พูดถึงบ้าง มันเป็นการเล่นความดาร์กที่มีศิลปะมากกว่าชุดก่อนๆ ที่ดูเหมือนจงใจไปหน่อย ชุดนี้ถ้าเปรียบเปรยกับหนัง หนังเรื่องนี้ก็คงเป็นหนังเกรดเอเลยล่ะครับ

Top Track :  D.D , Next , Montreal , Same Old Song ,  Outside and Till Dawn (Here Comes The Sun)

Give (9/10) (The Best Of Trilogy)




สุดท้ายผมเองก็ขอสรุปภาพรวมของ Trilogy คร่าวๆ ก่อนจะจบรีวิว อัลบั้มชุดนี้มีจุดแข็งอยู่ก็คือเรื่องของโปรดักชั่น สามารถนำเสนอความดาร์กออกมาได้เต็มที่ เสียงของ Abel ช่วยเพลงได้มาก ถ้าเสียงห่วยมาร้องเพลงแนวนี้ก็จบเห่ครับ แต่เสียงของ Abel เองทำให้เราอยากฟังเพลงนั้นต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ และที่สำคัญแต่ละเพลงนั้นค่อนข้างมีความชัดเจน เลยทำให้เราเหมือนกับได้ฟังเพลงของ The Weeknd จริงๆ ซึ่งนั่นเป็นจุดแข็งของผลงานไตรภาคชุดนี้

ส่วนข้อเสียก็มีพอๆกันเหมือนดาบสองคมนั่นก็คือ มันไม่เหมาะกับคนโลกสวย ถ้าคุณคิดจะฟังทั้งสามชุดให้จบภายในวันเดียวล่ะก็ ผมเกรงว่าท่านจะเอียนเสียก่อน แบ่งๆกันฟังจะดีกว่า เนื้อหาออกแนววกวนไปหน่อย น่าจะเปลี่ยน Topic บ้าง ไม่ใช่ยัดเรื่องเซกส์เรื่องยาเยอะจนเกินไป มันทำให้มีมิติแค่เพียงด้านเดียว ไม่หลากหลาย และที่สำคัญที่สุดคือ มันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่คุณจะฟังทั้งสามชุดนี้เพื่อความผ่อนคลาย ถ้าคุณฟังไปอาจจะนอยด์เสียเปล่า ฟังบ่อยๆแน่นอนว่าจะไม่ดี มันไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฟังที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

เอาเป็นว่าอัลบั้มไตรภาคแห่งกิเลสตัณหาชุดนี้เป็นชุดที่อาจจะสร้างความหลอนให้กับคุณได้ แต่ในขณะเดียวกันคุณอาจจะติดใจกับสไตล์เพลงดาร์กๆแบบนี้โดยไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการได้ฟังผลงานเพลงที่ขายด้านมืดในตัวเราของหนุ่มคนนี้ 

ถ้าชอบก็ชอบไปเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็เกลียด**หมอนี่จนปางตายเลยล่ะครับ



Thanks For Reading
See Ya


ตามไปเมนท์ต่อ >>> https://www.facebook.com/fungpaifungma

แก้ไขล่าสุด 23 ส.ค. 58 13:15 | ไอพี: ไม่แสดง

#2 | joaxn | 30 ธ.ค. 57 18:51 น.

โอ้ยยยเราชอบเพลงของ The Weeknd มากก(บางเพลง5555555)  เป็นเพลงที่แบบฟังครั้งแรกแล้วลื่นหู แต่รอบต่อๆไปจะแบบ หืม เดี๋ยวนะ เพลงแกนี่ทำไมพูดถึงแต่พวก)&%@#%*^( 
ขอบคุณที่มารีวิวนะค้าา

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | BABYKISS | 10 ม.ค. 58 15:41 น.

เจ้าของกระทู้รีวิวน่าอ่านดี อิๆ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google