9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ เพื่อตัวเอง และเพื่อการทำงานที่ดีขึ้น
11 มิ.ย. 58 15:08 น. /
ดู 562 ครั้ง /
1 ความเห็น /
2 ชอบจัง
/
แชร์
9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ เพื่อตัวเอง และเพื่อการทำงานที่ดีขึ้น
งานล้น ทำงานไม่ทัน ลูกค้าขี้วีน เจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้นินทา สถานการณ์ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเร้าให้สติของชาวออฟฟิตอย่างเราๆ หลุดกระเจิงแทบทุก 5 นาที และด้วยเหตุที่ครึ่งค่อนข้างชีวิตของเราๆท่านๆ ต้องอยู่กับงาน จึงไม่รอช้าที่ให้พวกเรามาฝึกเทคนิคเรียกสติให้กลับคืนมาในระหว่างวันทำงาน เพราะเมื่อสติกลับคืนมา ปัญญาที่จะสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพก็จะตามมาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย
1. ไฟแดง ไฟแห่งสติ
สิ่งแรกที่ทำให้สติของชาวออฟฟิศขาดกระเจิงพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามมาเห็นจะเป็นการจราจรที่แสนจะติดขัด ยิ่งวันไหนที่ต้องติดไฟแดงแทบทุกแยกด้วยแล้ว มันหนีไม่พ้นที่จะบ่นกับตัวเองว่า วันนี้ต้องเป็นวันซวยอย่างแน่นอน ทางออกก็คือ ต้อง เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ลองใช้ไฟแดงเป็นเครื่องมือเตือนสติดู ติดไฟแดงครั้งใดก็ให้หยุดดูความหงุดหงิดของตัวเองพร้อมดึงสติมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้กว่าจะถึงออฟฟิศ เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสติพร้อมยิ้มรับกับทุกเรื่องที่กำลังรออยู่แล้ว
2. ตั้งจิตอธิฐานก่อนเริ่มงานทุกวัน
เมื่อมาถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การเริ่มงานอย่างลุกลี้ลุกลน แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ หาเวลาสัก 5 นาทีเพื่อทำใจให้สงบ จากนั้นตั้งจิตให้มั่นแล้วนึกถึงธรรมะที่ต้องการน้อมมาปฏิบัติ เช่น เมื่อวานขี้เกียจไปนิด วันนี้ต้องตั้งใจทำงานด้วยความเพียร การตั้งจิตอธิษฐานไม่ได้หมายถึงการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อช่วยให้ทำงานสำเร็จ ทว่าการอธิษฐานเป็นการเตือนใจไม่ให้พลัดหลงไปกับอารมณ์และความเร่งรีบที่จะมาบั่นทอนจิตใจการทำงานนั่นเอง
3. ล้างจานเพื่อล้างจาน
การทำงานไม่ว่าอาชีพไหนก็สามารถเจริญสติขณะทำงานได้เช่นกัน เพราะการเจริญสติในที่ทำงานหมายถึงการดึงจิตใจให้อยู่กับงาน รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ จะล้างจานก็รู้ว่าล้างจาน ถูบ้านก็รู้ว่ากำลังถูบ้าน คิดเรื่องอะไรก็ใช้สติอยู่กับเรื่องนั้นๆไม่กังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรือพะวงอยู่กับอนาคตที่ยังไม่ถึง ข้อดีของการเจริญสติตลอดเวลาที่ทำงานนั้น นอกจากจะทำให้งานสำเร็จแล้ว ยังทำให้ทำงานด้วยความผ่อนคลายโปร่งเบา เพราะจิตใจไม่ ขยะ ให้ต้องแบกรับ
4. ตามลมหายใจไปกับเสียงโทรศัพท์
เคยไหมขณะกำลังทำงานอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าขี้วีนที่สุดเข้ามาทำให้อารมณ์ขุ่นมัวตั้งครึ่งค่อนวัน และเมื่อมีโทรศัพท์เข้าอีกครั้ง ( แม้จะไม่คนเดิมก็ตาม ) คราวนี้เราก็พร้อมจะระเบิดความขุ่นมัวเผื่อแผ่ไปให้ปลายสายอย่างไม่ยั้งคิด ซึ่งผลลัพท์ที่ได้ แน่นอนว่ามีแต่เสียมากกว่า เผลอๆอาจทำให้เราต้องเสียลูกค้าดีๆไปโดยไม่ได้คาดคิด ทางออกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ขอแนะนำให้ใช้โทรศัพท์นี่แหละเป็นเครื่องมือเรียกสติ โดยก่อนรับสายให้ค่อยๆตามลมหายใจเข้า ออกช้าๆ 3 ครั้งเพื่อให้อารมณ์สงบนิ่งบางคนอาจใช้อุปกรณ์เสริมอย่างเช่นกระจกบานเล็กๆวางใกล้ โทรศัพท์ ขณะคุยอาจยิ้มน้อยๆไปด้วย การมองตัวเองในกระจกช่วยให้ไม่เผลอส่งอารมณ์โกรธไปถึงคนปลายสายโดยไม่รู้ตัว
5. เจริญสติด้วยคำวิจารณ์
การทำงานกับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งที่คู่กัน แต่หลายคนมักสติหลุดเพียงเพราะถูกวิพากวิจารณ์ ดังนั้นสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์คือ เราเอาปัญญาออกหน้า หรืออัตตาออกหน้า หากเอาปัญญาออกหน้าจะเกิดคำถามในใจว่า ฉันผิดพลาดตรงไหน แต่หากเลือกอัตตาก็จะมีประโยคหนึ่งตามมาคือ แกทำให้ฉันเสียหน้า สุดท้ายถ้าเราพยายามเตือนตัวเองให้ใคร่ครวญแต่ข้อผิดพลาด ความทุกข์ ความรู้สึกเสียหน้าก็จะมาไม่ถึงเหมือนอย่างที่คุณเล็ก ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณมักเตือนตัวเองเสมอว่า วันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นวันอัปมงคลเพราะนั่นหมายถึงมีแต่คนสรรเสริญเยินยอจนหลงลืมตัว ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมในที่สุด
6. เจริญสติด้วยคำนินทา
หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาที่แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ตก นั่นคือคำนินทา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็อาจทำหลายคนเกิดอาการเครียดไปตามๆกัน ทางที่ดีที่สุด แม้เราจะห้ามคนนินทาไม่ได้ แต่เราก็สามารถห้ามใจไม่ให้คิดตามจน จิตตก ได้ และหนึ่งในวิธีที่ได้ผลชะงัด คือ การมองโลกในแง่ดี คิดเสียว่าที่เขานินทาคือการเตือนทางอ้อมให้เราได้แก้ไขปรับปรุงในเรื่องที่เรายังบกพร่อง เวลาที่เราได้ยินเสียงนินทาให้ถือเสียว่าเป็นระฆังแห่งสติที่จะเตือนให้เราหันกลับมามองตัวเอง สิ่งไหนจริงก็ปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหนไม่จริงก็ปล่อยให้ผ่านไปที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิด พูด และทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาไม่เป็นความจริง
7. สร้างทางเดินแห่งสติ
ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมมักใช้เป็นข้ออ้างเมื่อการปฏิบัติไม่คืบหน้าคือ ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่จะฝึกฝน เราจึงขอเสนอเส้นทางเดินแห่งสติในที่ทำงาน เริ่มตั้งแต่ลานจอดรถ ขั้นบันได ทางเดินไปห้องน้ำ และที่จะขาดไม่ได้คือ ทางเดินไปห้องเจ้านาย แม้ทางเดินเหล่านี้จะเป็นระยะทางสั้นๆเพี่ยงไม่กี่ก้าว แต่หากเราเดินด้วยความรู้สึกตัว มีสติในทุกย่างก้าว ซ้ายก็รู้ ขวาก็รู้ ขึ้นบันไดก็รู้ ไม่เผลอคิดฟุ้งซ่าน ถ้าทำได้อย่างนี้ สติจะไม่อยู่กับเราขณะทำงานก็ให้รู้ไป
8. พักยกด้วยระฆังแห่งสติ
สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิตที่งานยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจะดูนาฬิกา ขอแนะนำให้ใช้บริการระฆังแห่งสติเป็นผู้ช่วย ระฆังแห่งสตินี้อาจจะใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งเวลาปลุกทุกครึ่งชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง เคล็ดลับคือ เมื่อได้ยินเสียงระฆังแล้วให้วางมือจากการทำงานและกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีสัก 3 ลมหายใจ จากนั้นจึงค่อยทำงานต่อ เท่านี้สติก็อยู่กับตัวได้ตลอดทั้งวันแล้ว
9. ซ้อม สอบ ในที่ทำงาน
จริงอยู่ว่าในการทำงานย่อมมีอารมณ์หลากหลายเข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อิจฉา ริษยา แต่จริงๆ แล้วอารมณ์เหล่านี้ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายกับเราเสียหมด ตรงกันข้ามอารมณ์หลากหลายที่เราต้องเผชิญในที่ทำงานคือ บททดสอบที่ดียิ่งใน วิชาสติ ดังนั้นขอให้ใช้บททดสอบเหล่านี้ดูว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ใม่ให้วูบวาบไปตามสิ่งที่มากระทบและเรียกสติมาช่วยได้ทันหรือไม่ หากเผลอก็ถือว่าสอบตก ต้องรีบสอบซ่อมและทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป
คนเราต้องทำงานเกือบทั้งชีวิต หากเราหมั่นฝึกใช้สติควบคู่ไปกับทำงานก็เท่ากับเรามีโอกาส ฝึกปฏิบัติธรรมกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว
เรียบเรียง Theorem-style
ที่มา: http://www.cityvariety.com
สามารถติดตามเรื่องราวต่างๆ ได้ที่
www.facebook.com/TheoremThailand
งานล้น ทำงานไม่ทัน ลูกค้าขี้วีน เจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้นินทา สถานการณ์ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเร้าให้สติของชาวออฟฟิตอย่างเราๆ หลุดกระเจิงแทบทุก 5 นาที และด้วยเหตุที่ครึ่งค่อนข้างชีวิตของเราๆท่านๆ ต้องอยู่กับงาน จึงไม่รอช้าที่ให้พวกเรามาฝึกเทคนิคเรียกสติให้กลับคืนมาในระหว่างวันทำงาน เพราะเมื่อสติกลับคืนมา ปัญญาที่จะสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพก็จะตามมาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย
1. ไฟแดง ไฟแห่งสติ
สิ่งแรกที่ทำให้สติของชาวออฟฟิศขาดกระเจิงพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามมาเห็นจะเป็นการจราจรที่แสนจะติดขัด ยิ่งวันไหนที่ต้องติดไฟแดงแทบทุกแยกด้วยแล้ว มันหนีไม่พ้นที่จะบ่นกับตัวเองว่า วันนี้ต้องเป็นวันซวยอย่างแน่นอน ทางออกก็คือ ต้อง เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ลองใช้ไฟแดงเป็นเครื่องมือเตือนสติดู ติดไฟแดงครั้งใดก็ให้หยุดดูความหงุดหงิดของตัวเองพร้อมดึงสติมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้กว่าจะถึงออฟฟิศ เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสติพร้อมยิ้มรับกับทุกเรื่องที่กำลังรออยู่แล้ว
2. ตั้งจิตอธิฐานก่อนเริ่มงานทุกวัน
เมื่อมาถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การเริ่มงานอย่างลุกลี้ลุกลน แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ หาเวลาสัก 5 นาทีเพื่อทำใจให้สงบ จากนั้นตั้งจิตให้มั่นแล้วนึกถึงธรรมะที่ต้องการน้อมมาปฏิบัติ เช่น เมื่อวานขี้เกียจไปนิด วันนี้ต้องตั้งใจทำงานด้วยความเพียร การตั้งจิตอธิษฐานไม่ได้หมายถึงการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อช่วยให้ทำงานสำเร็จ ทว่าการอธิษฐานเป็นการเตือนใจไม่ให้พลัดหลงไปกับอารมณ์และความเร่งรีบที่จะมาบั่นทอนจิตใจการทำงานนั่นเอง
3. ล้างจานเพื่อล้างจาน
การทำงานไม่ว่าอาชีพไหนก็สามารถเจริญสติขณะทำงานได้เช่นกัน เพราะการเจริญสติในที่ทำงานหมายถึงการดึงจิตใจให้อยู่กับงาน รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ จะล้างจานก็รู้ว่าล้างจาน ถูบ้านก็รู้ว่ากำลังถูบ้าน คิดเรื่องอะไรก็ใช้สติอยู่กับเรื่องนั้นๆไม่กังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรือพะวงอยู่กับอนาคตที่ยังไม่ถึง ข้อดีของการเจริญสติตลอดเวลาที่ทำงานนั้น นอกจากจะทำให้งานสำเร็จแล้ว ยังทำให้ทำงานด้วยความผ่อนคลายโปร่งเบา เพราะจิตใจไม่ ขยะ ให้ต้องแบกรับ
4. ตามลมหายใจไปกับเสียงโทรศัพท์
เคยไหมขณะกำลังทำงานอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าขี้วีนที่สุดเข้ามาทำให้อารมณ์ขุ่นมัวตั้งครึ่งค่อนวัน และเมื่อมีโทรศัพท์เข้าอีกครั้ง ( แม้จะไม่คนเดิมก็ตาม ) คราวนี้เราก็พร้อมจะระเบิดความขุ่นมัวเผื่อแผ่ไปให้ปลายสายอย่างไม่ยั้งคิด ซึ่งผลลัพท์ที่ได้ แน่นอนว่ามีแต่เสียมากกว่า เผลอๆอาจทำให้เราต้องเสียลูกค้าดีๆไปโดยไม่ได้คาดคิด ทางออกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ขอแนะนำให้ใช้โทรศัพท์นี่แหละเป็นเครื่องมือเรียกสติ โดยก่อนรับสายให้ค่อยๆตามลมหายใจเข้า ออกช้าๆ 3 ครั้งเพื่อให้อารมณ์สงบนิ่งบางคนอาจใช้อุปกรณ์เสริมอย่างเช่นกระจกบานเล็กๆวางใกล้ โทรศัพท์ ขณะคุยอาจยิ้มน้อยๆไปด้วย การมองตัวเองในกระจกช่วยให้ไม่เผลอส่งอารมณ์โกรธไปถึงคนปลายสายโดยไม่รู้ตัว
5. เจริญสติด้วยคำวิจารณ์
การทำงานกับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งที่คู่กัน แต่หลายคนมักสติหลุดเพียงเพราะถูกวิพากวิจารณ์ ดังนั้นสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์คือ เราเอาปัญญาออกหน้า หรืออัตตาออกหน้า หากเอาปัญญาออกหน้าจะเกิดคำถามในใจว่า ฉันผิดพลาดตรงไหน แต่หากเลือกอัตตาก็จะมีประโยคหนึ่งตามมาคือ แกทำให้ฉันเสียหน้า สุดท้ายถ้าเราพยายามเตือนตัวเองให้ใคร่ครวญแต่ข้อผิดพลาด ความทุกข์ ความรู้สึกเสียหน้าก็จะมาไม่ถึงเหมือนอย่างที่คุณเล็ก ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณมักเตือนตัวเองเสมอว่า วันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นวันอัปมงคลเพราะนั่นหมายถึงมีแต่คนสรรเสริญเยินยอจนหลงลืมตัว ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมในที่สุด
6. เจริญสติด้วยคำนินทา
หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาที่แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ตก นั่นคือคำนินทา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็อาจทำหลายคนเกิดอาการเครียดไปตามๆกัน ทางที่ดีที่สุด แม้เราจะห้ามคนนินทาไม่ได้ แต่เราก็สามารถห้ามใจไม่ให้คิดตามจน จิตตก ได้ และหนึ่งในวิธีที่ได้ผลชะงัด คือ การมองโลกในแง่ดี คิดเสียว่าที่เขานินทาคือการเตือนทางอ้อมให้เราได้แก้ไขปรับปรุงในเรื่องที่เรายังบกพร่อง เวลาที่เราได้ยินเสียงนินทาให้ถือเสียว่าเป็นระฆังแห่งสติที่จะเตือนให้เราหันกลับมามองตัวเอง สิ่งไหนจริงก็ปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหนไม่จริงก็ปล่อยให้ผ่านไปที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิด พูด และทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาไม่เป็นความจริง
7. สร้างทางเดินแห่งสติ
ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมมักใช้เป็นข้ออ้างเมื่อการปฏิบัติไม่คืบหน้าคือ ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่จะฝึกฝน เราจึงขอเสนอเส้นทางเดินแห่งสติในที่ทำงาน เริ่มตั้งแต่ลานจอดรถ ขั้นบันได ทางเดินไปห้องน้ำ และที่จะขาดไม่ได้คือ ทางเดินไปห้องเจ้านาย แม้ทางเดินเหล่านี้จะเป็นระยะทางสั้นๆเพี่ยงไม่กี่ก้าว แต่หากเราเดินด้วยความรู้สึกตัว มีสติในทุกย่างก้าว ซ้ายก็รู้ ขวาก็รู้ ขึ้นบันไดก็รู้ ไม่เผลอคิดฟุ้งซ่าน ถ้าทำได้อย่างนี้ สติจะไม่อยู่กับเราขณะทำงานก็ให้รู้ไป
8. พักยกด้วยระฆังแห่งสติ
สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิตที่งานยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจะดูนาฬิกา ขอแนะนำให้ใช้บริการระฆังแห่งสติเป็นผู้ช่วย ระฆังแห่งสตินี้อาจจะใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งเวลาปลุกทุกครึ่งชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง เคล็ดลับคือ เมื่อได้ยินเสียงระฆังแล้วให้วางมือจากการทำงานและกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีสัก 3 ลมหายใจ จากนั้นจึงค่อยทำงานต่อ เท่านี้สติก็อยู่กับตัวได้ตลอดทั้งวันแล้ว
9. ซ้อม สอบ ในที่ทำงาน
จริงอยู่ว่าในการทำงานย่อมมีอารมณ์หลากหลายเข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อิจฉา ริษยา แต่จริงๆ แล้วอารมณ์เหล่านี้ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายกับเราเสียหมด ตรงกันข้ามอารมณ์หลากหลายที่เราต้องเผชิญในที่ทำงานคือ บททดสอบที่ดียิ่งใน วิชาสติ ดังนั้นขอให้ใช้บททดสอบเหล่านี้ดูว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ใม่ให้วูบวาบไปตามสิ่งที่มากระทบและเรียกสติมาช่วยได้ทันหรือไม่ หากเผลอก็ถือว่าสอบตก ต้องรีบสอบซ่อมและทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป
คนเราต้องทำงานเกือบทั้งชีวิต หากเราหมั่นฝึกใช้สติควบคู่ไปกับทำงานก็เท่ากับเรามีโอกาส ฝึกปฏิบัติธรรมกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว
เรียบเรียง Theorem-style
ที่มา: http://www.cityvariety.com
สามารถติดตามเรื่องราวต่างๆ ได้ที่
www.facebook.com/TheoremThailand
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google