ล้วงความลับหัวใจ น้ำฝน กุลณัฐ กว่าจะรักไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
28 มี.ค. 64 18:08 น. /
ดู 3,243 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#น้ำฝนกุลณัฐ
ชีวิตคนมันสั้นอยากทำอะไรให้รีบทำ น้ำฝน กุลณัฐ ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ได้กล่าวไว้พร้อมยังได้เปิดเรื่องหัวใจหมดเปลือก เรื่องราวความรักในชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ทั้งความรักที่คิดว่าใช่แต่งงานแน่แต่อยู่ๆ โดนขอบอกเลิกแบบฟ้าผ่า พอได้เจอความรักกับพระเอกรุ่นน้องที่อายุห่างกัน 6 ปี ก็อึดอัดจนไปไม่รอด ตัดสินใจโบกมือลาผู้ชายไทยหันไปมองผู้ชายต่างชาติ รอจนเกือบท้อสุดท้ายฟ้าก็ประทานรักแท้มาให้ แต่กว่าจะรักก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
กับความรักครั้งหนึ่งที่ขนาดมีปัญหาแต่ก็ยังครบยาวมาเกือบๆ 5 ปี
เกือบๆ 5 ปีค่ะ จริงๆ มีปัญหากันมาตั้งแต่ 6 เดือนแรกที่เราคบกันเลย จนถึงวันที่เลิกกันแล้วก็ได้มานั่งคุยกัน แล้วเขาพูดกับเราว่าเขาอึดอัดแล้วเขาก็พูดๆ ออกเราก็ อืม แล้วก็มากำหนดอีก นั่งคิดอีกว่าเราไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า
เพราะว่าเป็นคนในวงการบันเทิงแล้วก็เป็นอีกคู่ที่ทุกคนเชียร์ พอเลิกกันเลยกลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่
คุยกันอยู่ดีๆ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่าเลิกกันเถอะ เขาเป็นคนที่ไม่เคยพูด เราก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวขอตั้งสตินิดนึง เราก็หาเหตุผล เขาก็บอกเราว่าเขาอึดอัด เขาไม่ไหวแล้ว เขาไม่มีความสุข แล้วจากวันที่เขาบอกเลิกเราคือเขาก็เดินออกจากชีวิตเราไปเลย คือเลิกเลยหลังจากนั้นสองสามวันเขาก็โทรกลับมาร้องไห้ ร้องไห้เหมือนเด็กเลย แล้วเขาก็บอกเราว่าเขารู้ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไปเนี่ย คือเขาพลาดมาก เขาพูดว่าฉันรู้ว่าในอนาคตฉันต้องเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำ แต่ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว ตอนนั้นเราก็พูดก็กลับมาสิ มาคุยกัน เขาก็บอกเราว่าฉันอยู่ไม่ได้แล้ว นิสัยเขา เขาเป็นคนที่ทำอะไรตามใจ ฝนคิดว่าเพราะฉะนั้นเขาต้องตามหัวใจเขาว่าเขาอยากได้อะไร ต้องการอะไร 1 อาทิตย์ที่เขาออกจากบ้านไป เราก็เสียใจมากแบบนอนไม่หลับตื่นตีสอง ตื่นตีสาม กินข้าวไม่ได้ ก็ไปหาหมอ หมอเขาก็ถามเราว่าเป็นอะไรเราก็บอกว่าเดี๋ยวหนูต้องเป็นโรคกระเพาะ เพราะว่าเรากินข้าวไม่ได้นอนไม่ได้ต้องเป็นโรคกระเพาะแน่ๆ เพราะว่ามันเครียดมาก หมอก็งงๆ แต่ก็ให้ยามาก็ดูแลตัวเองไป ถามว่าร้องไห้ไหม ร้องจนแบบเพราะเราเสียใจมาก แต่ว่ามันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ อาทิตย์แรกโหดสุดเราปล่อยอารมณ์ของเราไปเลยว่า ไปให้สุดไม่ต้องไปกั๊ก มันเป็นความคิดของตัวเองว่าเวลาที่เราอกหัก เราก็พักฟื้นตัวเองไปเรื่อยๆ มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น เราก็อยู่กับความเศร้าของมันจนเต็มอิ่มแล้ว
ความรักครั้งถัดมา
ส่วนความรักอีกครั้งของ ฝน น้องเขาเป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาในวงการ เราไม่ได้เล่นละครด้วยกันนะคะ แต่เจอกันครั้งแรกที่กองถ่าย เพราะว่าเขาเป็นเด็กใหม่เหมือนมาดูงานแค่นั้นจบ เจอกันอีกทีก็เหมือนเป็นปาร์ตี้บริษัท เราก็ลองดูคบเด็กอายุเรากับเขาห่างกัน 6 ปี เราโสดส่วนเขาฝนก็คิดว่าเขาก็เด็ก เขาก็ไม่ได้คิดอะไร เหมือนกับเขาเข้ามาในจังหวะที่ค่อนข้างที่จะเข้ามาต่อเร็ว แบบไม่นาน ไม่ถึงปี ทำให้เรารู้สึกว่ามันจูนกันได้ มันคุยกันได้ มันก็เลยเหมือนตามน้ำไปเรื่อยๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ 6 เดือนแล้ว หนึ่งปีแล้ว
ด้วยความที่อายุต่างกันมีผลไหม เหมือนล้ำเส้นบางอย่างของเขา
เอาจริงๆ นะคะ ตอนนั้นไม่รู้ แต่พอที่เราสองคนคบกันแล้วเขาก็ดังมาก แล้วพอเขาดังมากแล้วบวกกันนิสัยของเขาเป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำเป็นคนที่ตามใจตัวเอง ด้วยความที่เราอยู่ในวงการมานานเราก็เหมือนเราถูกผู้ใหญ่สอนมาเยอะค่ะ มันก็เลยเอาสิ่งที่เรารู้ไปบอกเขาว่าทำแบบนี้สิ ทำแบบนั้นสิ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า เพราะมันคือความหวังดีเพราะการที่เราจะอยู่ในวงการ เราต้องทำตัวแบบไหน ถ้าถามว่าเราเป็นคนจู้จี้ไหมเราเป็นคนชอบจัดการดีกว่าค่ะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดแบบใส่อันนี้สิ อันนั้นสิ คือไม่ได้ขนาดนั้น เราก็แค่แบบต้องตั้งนาฬิกาปลุกนะ เธอต้องไปออกกำลังกายนะ ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้เราก็พาไปซื้อเสื้อผ้าเวลาสัมภาษณ์จะได้ดูดี ถึงเวลาสัมภาษณ์ต้องพูดแบบนี้นะ เหมือนกับเขายังใหม่มากค่ะ เราก็หวังดีเพราะว่าเขาเป็นพระเอก แต่ในมุมของเขาคือเขาไม่ต้องการ เลยทำให้เราทะเลาะกันบ่อยด้วยอะไรหลายๆ อย่าง จุกจิกๆ มันก็เป็นเส้นบางๆ ระหว่างแฟนกับแม่
ในที่สุดก็มาเจอความรักสุดท้ายในชีวิต
มันเหมือนกับแบบนอกวงการก็มีแล้ว ในวงการก็มีแล้ว เราก็แบบไม่เอาแล้วดีกว่า ออกนอกประเทศเลยดีกว่า เป็นความตั้งใจของเราเลยว่าจะไม่เอาผู้ชายไทยแล้ว เพราะตอนนั้นเราก็อายุ 34 แล้ว ซึ่งตอนนั้นเพื่อนเราก็บอกว่าต่างชาติเขาไม่ได้เกี่ยงเรื่องอายุ เราก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นโอกาสที่พอเหมาะที่จะเริ่ม เราก็เอาตัวเราไปในที่ที่ฝรั่งเขาอยู่ บวกกับอีกอันหนึ่งคือเพื่อนฝนมีแฟนเป็นฝรั่ง เขาก็พยายามหาเพื่อนเขามาให้เรา แต่เราก็ไม่ชอบจนเราโสดมา 1 ปี คิดเลยค่ะ หรือว่ามันต้องโสดแล้ว เพราะตอนนั้นค่อนข้างที่เราจะคงที่แล้ว โหยหาไปแล้วเราได้อะไรที่ไม่ดีมา เลยไม่เอาดีกว่าถ้าอยู่คนเดียวได้ก็อยู่คนเดียว
เคยคิดว่าจะแต่งงานมีลูกหรือเปล่า
ไม่คิดเลยค่ะ แต่พอเรามาเจอคนที่ใช่ ซึ่งที่มาเจอคนนี้เราก็เกือบถอดใจแล้วกับความรักแล้วอยู่ดีๆ ฟ้าก็ประทานเขาลงมา เขามากับน้องนักแสดงที่เรารู้จักก็อยู่ในร้านอาหารนะคะ เขาก็นั่งอีกโต๊ะหนึ่งแล้วน้องเขาเข้ามาทักเรา แต่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเขามาเป็นแม่สื่อ ก็เลยเป็นเหตุให้เขามาทักเรา แต่เราเจอเขาตอนแรกคือ ไม่ชอบเลยเพราะเขาเมามาก แล้วเขาก็ชวนเราออกไปข้างนอก ไปกินข้าว แล้วเขาก็ขอโทษที่วันนั้นเขาเมามาก จนท้ายที่สุดเขาก็บอกเราว่าชวนไปกินข้าวนะไม่ได้ขอแต่งงานทำไมยากขนาดนี้ เราก็จริงเนอะ ซึ่งเขาก็บอกว่าออกมาเจอกันถ้าไม่ใช่เราก็เป็นเพื่อนกันได้ ฝนก็ชอบอะไรแฟร์ๆ อยู่แล้ว เราก็เลยออกไป พอเจอเขาก็ตกใจเหมือนคนละคนที่เราเจอวันแรกเลย เพราะดูเป็นนักธุรกิจมาดภูมิฐาน สิ่งที่ชอบในตัวของจอร์ดอน คือเขาเป็นคนที่ให้ความสนใจ คือเราก็ไม่ได้เป็นนักเรียนนอกหรือเรียนศิลป์ภาษา พอเวลาเขาพูดมาคือเราฟังเขารู้เรื่องแต่เราจะตอบช้า แต่เขาตั้งใจ พยายามเข้าใจจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ พอเราคบกับเขาได้สักพักเราก็บอกที่บ้านว่าเราคบฝรั่งนะ ที่บ้านก็เหมือนกับหน้าตึงๆ ไปนิดนึง
สาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจแต่งงานเพราะคุณแม่
สิ่งหนึ่งที่ทำให้แบบเคยทะเลาะกับแม่มาหลายครั้งมากเรื่องแต่งงาน ตั้งแต่คบกับแฟน 10 ปีแม่ก็อยากให้แต่งงาน จนคบกับแฟนมาถึงพระเอกแม่ก็อยากให้แต่งงาน เหตุผลอย่างเดียวเลยคือเขากลัวเราเหงา เราก็บอกว่าเราจะเหงาได้ยังไงเพราะหลานก็เต็มเลย ทะเลาะกับเขาแรงมากทำไมแม่จะต้องพูดเรื่องนี้ด้วยฝนเบื่อมาก ฝนดูแลตัวเองได้ดูแลครอบครัว ดูแลแม่ได้แค่นี้น่าจะพอแล้วใช่ไหม ที่เราไม่ไปพูดกับจอร์ดอนเลยเพราะว่าเราไม่อยากไปทำให้เขาอึดอัด เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง แต่พอวันที่แม่ป่วยคือ ถ้าคนเข้าใจ Stroke จะเหมือนว่ามันคืออุบัติเหตุ คือเดินอยู่ดีๆ ปึ๊กเดียวพิการ คือมันเลวร้ายมาก หมอแจ้งเราว่าแม่เป็นสมองตีบตรงส่วนกลางนะ ซึ่งมันจะเป็นส่วนที่ควบคุมระบบหายใจทั้งหมด ก็มาลองดู 3 วันถ้าแม่หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ก็คือแม่ไป ตลอด 3 วันนั้นเราก็ไม่ได้นอนเลย นั่งจับมือเขาไว้ตลอด (ร้องไห้) จอร์ดอนคือดีมาก เขาไม่ทิ้งเราเลย เขามาจับมือแม่ แล้วก็บอกว่าให้ฝนไปกินข้าวนะ เดี๋ยวเขาจับมือแม่ไว้เอง กลับมาพอเราเห็นแม่อาการดีขึ้น ฝนก็เลยหันไปถามเขาว่าที่เธอเคยพูดว่าเธออยากจะแต่งงานกับฉัน เธอยังอยากแต่งงานอยู่ไหม เขาก็ตอบว่า อยากแต่งสิ ฝน เลยบอกเขาว่างั้นเราแต่งกันเร็วหน่อยได้ไหมฉันอยากให้แม่ไปงานแต่งงานฉัน
สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต
ฝนบอกรักลูกทุกวันเลย แล้วก็บอกรักสามีทุกวันเลย ไม่รู้สามีเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน อยากทำอะไรก็ทำ อยากทำอะไรกับคนที่เรารักก็ให้รีบทำอันนี้เป็นที่สำคัญ และสิ่งหนึ่งเลยคือการให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อีกอันหนึ่งฝนเชื่อว่าศีล 5 ช่วยนะ อะไรที่ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไป แล้วเราไม่ได้คิดว่าเราไปแย่กับใครวันหนึ่งเราก็จะได้สิ่งดีๆ กลับมาเอง
#น้ำฝนกุลณัฐ
เกือบๆ 5 ปีค่ะ จริงๆ มีปัญหากันมาตั้งแต่ 6 เดือนแรกที่เราคบกันเลย จนถึงวันที่เลิกกันแล้วก็ได้มานั่งคุยกัน แล้วเขาพูดกับเราว่าเขาอึดอัดแล้วเขาก็พูดๆ ออกเราก็ อืม แล้วก็มากำหนดอีก นั่งคิดอีกว่าเราไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า
เพราะว่าเป็นคนในวงการบันเทิงแล้วก็เป็นอีกคู่ที่ทุกคนเชียร์ พอเลิกกันเลยกลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่
คุยกันอยู่ดีๆ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่าเลิกกันเถอะ เขาเป็นคนที่ไม่เคยพูด เราก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวขอตั้งสตินิดนึง เราก็หาเหตุผล เขาก็บอกเราว่าเขาอึดอัด เขาไม่ไหวแล้ว เขาไม่มีความสุข แล้วจากวันที่เขาบอกเลิกเราคือเขาก็เดินออกจากชีวิตเราไปเลย คือเลิกเลยหลังจากนั้นสองสามวันเขาก็โทรกลับมาร้องไห้ ร้องไห้เหมือนเด็กเลย แล้วเขาก็บอกเราว่าเขารู้ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไปเนี่ย คือเขาพลาดมาก เขาพูดว่าฉันรู้ว่าในอนาคตฉันต้องเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำ แต่ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว ตอนนั้นเราก็พูดก็กลับมาสิ มาคุยกัน เขาก็บอกเราว่าฉันอยู่ไม่ได้แล้ว นิสัยเขา เขาเป็นคนที่ทำอะไรตามใจ ฝนคิดว่าเพราะฉะนั้นเขาต้องตามหัวใจเขาว่าเขาอยากได้อะไร ต้องการอะไร 1 อาทิตย์ที่เขาออกจากบ้านไป เราก็เสียใจมากแบบนอนไม่หลับตื่นตีสอง ตื่นตีสาม กินข้าวไม่ได้ ก็ไปหาหมอ หมอเขาก็ถามเราว่าเป็นอะไรเราก็บอกว่าเดี๋ยวหนูต้องเป็นโรคกระเพาะ เพราะว่าเรากินข้าวไม่ได้นอนไม่ได้ต้องเป็นโรคกระเพาะแน่ๆ เพราะว่ามันเครียดมาก หมอก็งงๆ แต่ก็ให้ยามาก็ดูแลตัวเองไป ถามว่าร้องไห้ไหม ร้องจนแบบเพราะเราเสียใจมาก แต่ว่ามันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ อาทิตย์แรกโหดสุดเราปล่อยอารมณ์ของเราไปเลยว่า ไปให้สุดไม่ต้องไปกั๊ก มันเป็นความคิดของตัวเองว่าเวลาที่เราอกหัก เราก็พักฟื้นตัวเองไปเรื่อยๆ มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น เราก็อยู่กับความเศร้าของมันจนเต็มอิ่มแล้ว
ความรักครั้งถัดมา
ส่วนความรักอีกครั้งของ ฝน น้องเขาเป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาในวงการ เราไม่ได้เล่นละครด้วยกันนะคะ แต่เจอกันครั้งแรกที่กองถ่าย เพราะว่าเขาเป็นเด็กใหม่เหมือนมาดูงานแค่นั้นจบ เจอกันอีกทีก็เหมือนเป็นปาร์ตี้บริษัท เราก็ลองดูคบเด็กอายุเรากับเขาห่างกัน 6 ปี เราโสดส่วนเขาฝนก็คิดว่าเขาก็เด็ก เขาก็ไม่ได้คิดอะไร เหมือนกับเขาเข้ามาในจังหวะที่ค่อนข้างที่จะเข้ามาต่อเร็ว แบบไม่นาน ไม่ถึงปี ทำให้เรารู้สึกว่ามันจูนกันได้ มันคุยกันได้ มันก็เลยเหมือนตามน้ำไปเรื่อยๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ 6 เดือนแล้ว หนึ่งปีแล้ว
ด้วยความที่อายุต่างกันมีผลไหม เหมือนล้ำเส้นบางอย่างของเขา
เอาจริงๆ นะคะ ตอนนั้นไม่รู้ แต่พอที่เราสองคนคบกันแล้วเขาก็ดังมาก แล้วพอเขาดังมากแล้วบวกกันนิสัยของเขาเป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำเป็นคนที่ตามใจตัวเอง ด้วยความที่เราอยู่ในวงการมานานเราก็เหมือนเราถูกผู้ใหญ่สอนมาเยอะค่ะ มันก็เลยเอาสิ่งที่เรารู้ไปบอกเขาว่าทำแบบนี้สิ ทำแบบนั้นสิ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า เพราะมันคือความหวังดีเพราะการที่เราจะอยู่ในวงการ เราต้องทำตัวแบบไหน ถ้าถามว่าเราเป็นคนจู้จี้ไหมเราเป็นคนชอบจัดการดีกว่าค่ะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดแบบใส่อันนี้สิ อันนั้นสิ คือไม่ได้ขนาดนั้น เราก็แค่แบบต้องตั้งนาฬิกาปลุกนะ เธอต้องไปออกกำลังกายนะ ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้เราก็พาไปซื้อเสื้อผ้าเวลาสัมภาษณ์จะได้ดูดี ถึงเวลาสัมภาษณ์ต้องพูดแบบนี้นะ เหมือนกับเขายังใหม่มากค่ะ เราก็หวังดีเพราะว่าเขาเป็นพระเอก แต่ในมุมของเขาคือเขาไม่ต้องการ เลยทำให้เราทะเลาะกันบ่อยด้วยอะไรหลายๆ อย่าง จุกจิกๆ มันก็เป็นเส้นบางๆ ระหว่างแฟนกับแม่
ในที่สุดก็มาเจอความรักสุดท้ายในชีวิต
มันเหมือนกับแบบนอกวงการก็มีแล้ว ในวงการก็มีแล้ว เราก็แบบไม่เอาแล้วดีกว่า ออกนอกประเทศเลยดีกว่า เป็นความตั้งใจของเราเลยว่าจะไม่เอาผู้ชายไทยแล้ว เพราะตอนนั้นเราก็อายุ 34 แล้ว ซึ่งตอนนั้นเพื่อนเราก็บอกว่าต่างชาติเขาไม่ได้เกี่ยงเรื่องอายุ เราก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นโอกาสที่พอเหมาะที่จะเริ่ม เราก็เอาตัวเราไปในที่ที่ฝรั่งเขาอยู่ บวกกับอีกอันหนึ่งคือเพื่อนฝนมีแฟนเป็นฝรั่ง เขาก็พยายามหาเพื่อนเขามาให้เรา แต่เราก็ไม่ชอบจนเราโสดมา 1 ปี คิดเลยค่ะ หรือว่ามันต้องโสดแล้ว เพราะตอนนั้นค่อนข้างที่เราจะคงที่แล้ว โหยหาไปแล้วเราได้อะไรที่ไม่ดีมา เลยไม่เอาดีกว่าถ้าอยู่คนเดียวได้ก็อยู่คนเดียว
เคยคิดว่าจะแต่งงานมีลูกหรือเปล่า
ไม่คิดเลยค่ะ แต่พอเรามาเจอคนที่ใช่ ซึ่งที่มาเจอคนนี้เราก็เกือบถอดใจแล้วกับความรักแล้วอยู่ดีๆ ฟ้าก็ประทานเขาลงมา เขามากับน้องนักแสดงที่เรารู้จักก็อยู่ในร้านอาหารนะคะ เขาก็นั่งอีกโต๊ะหนึ่งแล้วน้องเขาเข้ามาทักเรา แต่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเขามาเป็นแม่สื่อ ก็เลยเป็นเหตุให้เขามาทักเรา แต่เราเจอเขาตอนแรกคือ ไม่ชอบเลยเพราะเขาเมามาก แล้วเขาก็ชวนเราออกไปข้างนอก ไปกินข้าว แล้วเขาก็ขอโทษที่วันนั้นเขาเมามาก จนท้ายที่สุดเขาก็บอกเราว่าชวนไปกินข้าวนะไม่ได้ขอแต่งงานทำไมยากขนาดนี้ เราก็จริงเนอะ ซึ่งเขาก็บอกว่าออกมาเจอกันถ้าไม่ใช่เราก็เป็นเพื่อนกันได้ ฝนก็ชอบอะไรแฟร์ๆ อยู่แล้ว เราก็เลยออกไป พอเจอเขาก็ตกใจเหมือนคนละคนที่เราเจอวันแรกเลย เพราะดูเป็นนักธุรกิจมาดภูมิฐาน สิ่งที่ชอบในตัวของจอร์ดอน คือเขาเป็นคนที่ให้ความสนใจ คือเราก็ไม่ได้เป็นนักเรียนนอกหรือเรียนศิลป์ภาษา พอเวลาเขาพูดมาคือเราฟังเขารู้เรื่องแต่เราจะตอบช้า แต่เขาตั้งใจ พยายามเข้าใจจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ พอเราคบกับเขาได้สักพักเราก็บอกที่บ้านว่าเราคบฝรั่งนะ ที่บ้านก็เหมือนกับหน้าตึงๆ ไปนิดนึง
สาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจแต่งงานเพราะคุณแม่
สิ่งหนึ่งที่ทำให้แบบเคยทะเลาะกับแม่มาหลายครั้งมากเรื่องแต่งงาน ตั้งแต่คบกับแฟน 10 ปีแม่ก็อยากให้แต่งงาน จนคบกับแฟนมาถึงพระเอกแม่ก็อยากให้แต่งงาน เหตุผลอย่างเดียวเลยคือเขากลัวเราเหงา เราก็บอกว่าเราจะเหงาได้ยังไงเพราะหลานก็เต็มเลย ทะเลาะกับเขาแรงมากทำไมแม่จะต้องพูดเรื่องนี้ด้วยฝนเบื่อมาก ฝนดูแลตัวเองได้ดูแลครอบครัว ดูแลแม่ได้แค่นี้น่าจะพอแล้วใช่ไหม ที่เราไม่ไปพูดกับจอร์ดอนเลยเพราะว่าเราไม่อยากไปทำให้เขาอึดอัด เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง แต่พอวันที่แม่ป่วยคือ ถ้าคนเข้าใจ Stroke จะเหมือนว่ามันคืออุบัติเหตุ คือเดินอยู่ดีๆ ปึ๊กเดียวพิการ คือมันเลวร้ายมาก หมอแจ้งเราว่าแม่เป็นสมองตีบตรงส่วนกลางนะ ซึ่งมันจะเป็นส่วนที่ควบคุมระบบหายใจทั้งหมด ก็มาลองดู 3 วันถ้าแม่หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ก็คือแม่ไป ตลอด 3 วันนั้นเราก็ไม่ได้นอนเลย นั่งจับมือเขาไว้ตลอด (ร้องไห้) จอร์ดอนคือดีมาก เขาไม่ทิ้งเราเลย เขามาจับมือแม่ แล้วก็บอกว่าให้ฝนไปกินข้าวนะ เดี๋ยวเขาจับมือแม่ไว้เอง กลับมาพอเราเห็นแม่อาการดีขึ้น ฝนก็เลยหันไปถามเขาว่าที่เธอเคยพูดว่าเธออยากจะแต่งงานกับฉัน เธอยังอยากแต่งงานอยู่ไหม เขาก็ตอบว่า อยากแต่งสิ ฝน เลยบอกเขาว่างั้นเราแต่งกันเร็วหน่อยได้ไหมฉันอยากให้แม่ไปงานแต่งงานฉัน
สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต
ฝนบอกรักลูกทุกวันเลย แล้วก็บอกรักสามีทุกวันเลย ไม่รู้สามีเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน อยากทำอะไรก็ทำ อยากทำอะไรกับคนที่เรารักก็ให้รีบทำอันนี้เป็นที่สำคัญ และสิ่งหนึ่งเลยคือการให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อีกอันหนึ่งฝนเชื่อว่าศีล 5 ช่วยนะ อะไรที่ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไป แล้วเราไม่ได้คิดว่าเราไปแย่กับใครวันหนึ่งเราก็จะได้สิ่งดีๆ กลับมาเอง
#น้ำฝนกุลณัฐ
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google