จากเป็นคน Self-Esteem ต่ำ มิว หันมามองและจริงใจกับตัวเอง มุ่งมั่นทำตามเป้าหมายจนมีทุกวันนี้!

23 พ.ย. 64 04:04 น. / ดู 3,647 ครั้ง / 0 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
เป็นการมานั่งให้สัมภาษณ์ที่ได้รู้จักตัวตนของหนุ่ม มิว ศุภศิษฏ์ ไปอีกขั้นเลย
กับ Pop Interview ที่ไล่ไทม์ไลน์ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กวัยเรียนจนมาถึงปัจจุบัน
รวมถึงเป้าหมายในอนาคต
นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับสมัยยังเป็น ด.ช. ศุภศิษฏ์ คุณเขาเล่าว่า ตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจ ตอนอนุบาลหม่าม๊าชอบพาไปบ้านคุณตา
แต่ตาชอบแกล้ง เลยไม่อยากไหว้ตา ก็โดนดุหม่าม๊าดุประจำ เพราะรู้สึกว่าเขาทำไม่ดีกับเรา เราจะไหว้ทำไม แต่หลังจากนั้นเริ่มเข้าใจคำว่าอยู่เป็น ในเมื่อเราไม่ไหว้แล้วเขายังแกล้งเราเหมือนเดิม เราลองไหว้สักวันเลยแล้วกัน ลองยิ้มให้ดูว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง ปรากฏตาทำท่าช็อก แล้วก็ไม่แกล้งอีกเลย ส่วนลักษณะนิสัยในวัยเด็กจะเป็นคน ดื้อ ซน ติดเล่นนู้นเล่นนี่ เป็นคนที่โฟกัสอะไรหนักๆ ตั้งแต่เด็ก เช่นเราอินกับการระบายสีมากๆ จะระบายสีทั้งวันเลย หรืออยู่ๆ อินกับการวิ่งไล่จับขึ้นมา ก็จะวิ่งไปข้างนอก ไปเล่นกับเพื่อนทั้งวัน เพื่อนไม่อยากเล่นก็ต้องชวนให้เล่นให้ได้ มีช่วงนึงติดเล่นบอลลูนด่านมาก ก็คิดวิธีตลอดเลยว่า มันจะมี แท็กติกอะไรบ้างในการเล่นกับเพื่อน ถึงขั้นวิ่งสไลด์กับพื้นลอดเพื่อนไป คือจริงจังมากตอนเด็ก





และเวลาเรียนอยู่ในห้องเรียน มิวเล่าว่า ตอนประถมเขา ชอบเล่นกับเพื่อนทำให้ตอนประถมทุกคนจะเห็นเหมือนเราเป็นหัวหน้าแก๊งนิดนึง ชอบให้เป็นหัวหน้าห้อง ตอนนั้นรู้สึกว่าทำอะไรทุกอย่างดูง่ายไปหมด อย่างเรื่องการเรียนก็แค่ฟังอาจารย์ในห้องก็ทำได้แล้ว พอมีช่วงนึงที่เหมือนทุกคนต้องอ่านหนังสือแต่เรารู้สึกว่าเรา Proud เราไม่อ่านแล้วกัน การเรียนตกเลย แล้วเราก็รู้สึกเสียเซลฟ์มากๆ เป็นประมาณช่วง ป.5-ป.6 เป็นช่วงที่รู้สึกจิตตกกับตัวเองมาก เป็นความรู้สึกที่เหมือนเราอยากจางหายไป รู้สึกว่าฉันอยากอยู่แค่กรอบส่วนตัว รู้สึกว่าทุกอย่างมันอันตรายไปหมดเลย ถึงขั้นไม่กล้าพูดหน้าห้อง หลังจากนั้น ก็ไม่ทำไร ก็เป็นเด็กเฮี้ยวๆ เลย ไม่เรียนแล้ว ติดการ์ตูน ติดเกม จริงๆตอนนั้นเหมือนรู้สึกว่า ฉันจะไปต่อสู้ในการ์ตูน ติดเกมมากๆ เเล้วรู้สึกว่าไม่อยากทำไรเลย อยากเล่นเกมอย่างเดียว รู้สึกว่ามันเป็นเซฟโซน ซึ่งตอนนั้นก็ทะเลาะกันกับคุณพ่อคุณแม่บ่อยมาก
เรื่องติดเกม แบบเวลาเล่นไปชนกับเวลากินข้าวที่บ้าน และเกมที่เล่นก็มีทั้งเกมออนไลน์แบบพกพาหรือ Play station ช่วงนั้นมีโอกาสเริ่มเข้ามาเล่นดนตรี อยู่วงดุริยางค์ของโรงเรียน มันมีออร่าอะไรบางอย่างที่เราเห็นในตอนนั้นแล้วเราประทับใจ เห็นแล้วอยู่ๆเราก็อยากลองก้าวข้ามอะไรบางอย่างจากตัวเอง





ช่วงนั้นมีโอกาส เริ่มเข้ามาเล่นดนตรี อยู่วงดุริยางค์ของโรงเรียน ตอนนั้นก็รู้สึกว่ายังกลัวอยู่ กลัวการอยู่ต่อหน้า สมมติเขามีไลน์เครื่องดนตรีหลายๆไลน์ จะชอบเลือกไลน์หลังๆ ถ้าไลน์ 1 จะชอบเล่นโซโล่เยอะ เราจะชอบเล่นเป็นไลน์เบสเลยแบบเล่นผิดก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นรู้สึกว่า Self-esteem ตัวเองต่ำมากๆ ที่เข้ามาเล่นดนตรีเพราะเข้าตามเพื่อนสุดท้ายเพื่อนออกหมด คือตัวเองก็ชอบฟังเสียงดนตรีนะ แต่ก็ขี้เกียจไปซ้อม อยากกลับบ้านไปเล่นเกม
แต่ที่ชอบเล่นเกมก็มีเหตุผล เพราะการเล่นเกมมันขี้โกงอย่างนึง ตรงที่ตัวละครถูกเซตสเตตัสในการขึ้นเลเวลไว้ แต่สำหรับตัวเราจริงๆ ไม่มี ด้วยความที่ตัวเรารู้สึกว่าไม่มั่นคงกับการใช้ชีวิตด้วยแหละ มันสั่นคลอนไปหมดเราคงหาความมั่นคงบางอย่าง คือเกมมันสามารถตอบโจทย์ตรงนั้นได้





วัยเด็กทุกคนไม่พ้นถูกถามว่าตอนโตมีความฝันอยากเป็นอะไร มิวบอกว่า ตอน ป.1 อยากเป็นนักบินอวกาศ
หรือบางช่วงดูมัมมี่อยากเป็นนักโบราณคดี แต่พอช่วงมัธยมตอนที่เรารู้สึกดาวน์ๆ คิดไม่ออกเหมือนกัน พอเข้าม.ปลาย
ก็เป็นเป็นวิศวะคอมแล้วกัน ตอนแรกคิดว่าเป็นวิศวะคอมแล้วได้ทำเกม และอยู่ในจุดที่ผ่านการดาวน์จากการค้นหาความฝัน
เมื่อได้รู้จักและสนิทกับน้องคนนึง เราจะเป็นคนกลัวไปหมดแต่น้องเขาจะกล้ามาก ฟีลแบบลองทำก่อนผลเป็นไงค่อยว่ากัน แต่อย่างน้อยได้ประสบการณ์ ได้ลองไปทำ แล้วเราเห็นความก้าวหน้าของเขา มันมีออร่าอะไรบางอย่างที่เราเห็นในตอนนั้นแล้วเราประทับใจ เห็นแล้วอยู่ๆ เราก็อยากลองก้าวข้ามอะไรบางอย่างจากตัวเอง และน้องเขาชวนไปเรียนร้องเพลงก็เลยวัดใจตัวเองดูว่าจะกล้าไปรึเปล่า ถึงดีไม่ดีก็ได้ประสบการณ์ ได้เห็นมุมมองอะไรบางอย่างที่มากขึ้นจากเดิม เราไม่เคยมองตัวเองเลย เราจริงใจกับตัวเองก็จริง แต่บางครั้งลืมมอนิเตอร์ตัวเอง เราลืมมาดูว่าเรารู้สึกยังไง แต่ลืมมารีเช็กว่าทำไมรู้สึกอย่างนั้น มัวแต่มองคนอื่นว่าจะคิดยังไง ไม่เคยคิดว่าตัวเองแฮปปี้หรือเปล่า พอได้ทำสิ่งใหม่ๆ ก็กลับมามีสติเฉย ได้กลับมาย้อนคิดถึงตัวเอง และความดีไม่ดี จริงๆ แล้วมันมีจริงรึเปล่า อะไรเป็นบรรทัดฐาน มันเป็นเรื่องของรสนิยม ตอนนั้นก็เลยเริ่มเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วกล้าลองทำมากขึ้น





เข้าสู่ช่วงชีวิตในมหาลัย มิว เล่าย้อนถึงวันวานว่า เขาได้เจอกลุ่มคนคล้ายๆ กัน แล้วก็โชคดีมากๆ ที่เพื่อนน่ารัก
เป็นคนที่ Work hard play hard มาก ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่แบกกันมา แล้วตอนเรียนเกลียดวิชาฟิสิกส์มากๆ เลยหาภาคที่ฟิสิกส์น้อยๆ คือวิศวกรรมอุตสาหการ  เพราะชอบเลข เป็นเชิงบริหารด้วย และถ้าถามว่าชีวิตในช่วงนี้ได้ใช้เวลาไปกับ ปาร์ตี้ แฮงค์เอาท์ เล่นเกม อะไรบ้าง มิวบอกว่าหมดเลย เคยแบบเรียนตอนเช้ามีเบรกเที่ยงต้องไปเรียนตอนเย็นต่อ ก็ไปนั่งเล่นเกม เสร็จแล้วก็ไปแฮงค์เอาท์ตอนกลางคืน บางทีตื่นเช้ามายังมีกลิ่นหึ่งอยู่เลย

เป็นช่วงวัยที่หลายๆ คนได้ใช้ชีวิตเต็มที่จริงๆ 




เป้าหมายแพลนเรียนต่อ มิวอยากศึกษาด้านการสำรองเกิน เป็นสิ่งที่ธุรกิจสายการบินการโรงแรมใช้เยอะ
ชอบความน่าจะเป็นซึ่งมีความสวยงามตรงที่ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ทำความเข้าใจ Error ที่มันจะเกิดขึ้น
ในชีวิตของเรา และชีวิตมิวเองก็ใกล้เคียงกับคำว่า ไม่แน่นอน แต่เราสามารถมีแผนรองรับมันเพื่อให้ความผิดพลาดเราน้อยที่สุด
และทุกวันนี้มิวสนุกกับศิลปะของความไม่แน่นอนในชีวิตมาก เพราะความที่เป็นตัวเองอยู่ตอนนี้ก็เพราะความไม่แน่นอน เรามีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้การันตีแน่นอนหรอกว่ามันจะเป็นยังไง แต่เราอยากชาเล้นจ์กับมัน





มาถึงก้าวที่เริ่มแคสต์งานเป็นบันไดก้าวสู่วงการ งานแรกที่ได้ลองแคส์ต์เป็นโฆษณาซิมมือถือ เป็นเพื่อนพระเอก
แต่งหน้าทำผมแล้วพอไปนั่งข้างพระเอกเขาบอกเฟรมมันไม่ได้ไม่เอาน้องละ เขาก็ไล่กลับบ้านแต่ก็ให้ค่าคิวเพราะ
เราตัวสูงกว่าพระเอกไปหน่อย ตอนแรกก็ยังเป็นคนขี้กลัวอยู่ ปัญหาคือการที่เราชอบคณิตศาสตร์มากๆ พอโตมา Logic จะเยอะมาก ขาดเรื่องความเชื่อขาดจินตนาการไป เวลาเล่นอะไรก็จะไม่อินเท่าไร ชอบค้าน ก็แคสต์โฆษณาไม่ค่อยติด โดนชวนไปเล่น
MV ลุควันนั้นทรงผมรากไทรสีแดง เหมือนไปรอนางเอกเต้น และตอนแรกที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเท่ ดูเพื่อนๆ ก็อวยดี และตอนนั้นก็มีช่วงกลับมาดาวน์เพราะแคสต์ไม่ติดเลย ก็ไปเรียนแอคติ้งพื้นฐานใหม่หมดเลย พอไปเรียนก็รู้เลยว่าพื้นฐานเราไม่ได้ จินตนาการไม่มี ไม่มีสมาธิ พอเรียนไปเรื่อยๆ เริ่มมีสติกับตัวเองและได้รู้จักอารมณ์และความรู้สึก ก็ขอเต็มที่กับมัน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ต้องเลือก way ให้เหมาะสมกับตัวเองเพื่อไปสู่จุดหมาย





และจากความพยายามไม่ยอมแพ้ทำให้มิวจากปีที่แล้วมาจนถึงปีนี้ มี 365 วันที่เจ้าตัวเรียกได้ว่า
ดีที่สุดในชีวิตจริงๆ ตอนแรกเข้าวงการบันเทิงสิ่งที่อยากทำที่สุกคือการเป็นนักร้อง ที่วิเศษมากๆ คือเราได้เอาสิ่งที่เรารักมาทำงาน ทำให้เราสามารถต่อยอดอะไรได้เต็มไปหมด และการได้มาทำเพลง เหมือนได้เติมเต็มสิ่งที่โบ๋อยู่ในใจ
และระหว่างทางมันสุดยอดไปเลย ถ้างานแสดงคือเราได้เรียนรู้ตัวตน Logic ของเขา แต่ถ้างานเพลงมันคือการที่เราได้
กลับมาสำรวจตัวเอง ว่าเราอยากถ่ายทอดอะไร และได้มองว่าอดีตปัจจุบันอนาคตเราจะเป็นยังไงบ้าง ได้กลับมาสู่เราตอนเด็กที่จริงใจกับตัวเองมากๆ





ถ้าถามช่วงอายุในวัย 30 รู้สึกยังไงบ้าง
มิว ยอมรับว่า ตอนแรกกลัว กลัวว่าจะแก่ ถ้า 30 แล้ว แต่ถึงเวลาจริงไม่เห็นแก่ เราก็เป็นเหมือนเราในเมื่อวาน
เหมือนตอน 29 ก่อนมา 30 ถ้าใจเราเด็กมันก็เด็ก เราก็ไม่รู้สึกแก่นะ ผมรู้สึกว่าการแก่ไม่แก่มันสำคัญด้วยรึเปล่า
ที่สำคัญกว่าคือวุฒิภาวะนะ พรที่ขอในวันเกิดปีที่ 30 ก็ขอเรื่องงานในวงการบันเทิง อยากให้เราได้มีโอกาสไปสู่ตลาดโลก
สำรวจการทำงานของต่างชาติ เป็นความฝันอย่างหนึ่ง อยากไปฮอลลีวูด อยากได้ออสการ์ ความฝันนี้มันใหญ่มาก แต่เป็นคน
ที่ชอบตั้งเป้าหมายใหญ่ๆ ก็จะได้เริ่มหาเส้นทางขั้นตอนไปถึงตรงนั้น จะได้รู้แพลนว่าเราต้องทำอะไรต่อจากนี้ และถ้ามีโอกาส
ได้สปีชบนเวทีออสการ์ ตอนนั้นไม่รู้จะพูดว่าอะไร แต่ถ้าในปัจจุบัน อยากพูดเรื่องที่เราเป็นประชากรโลก เพื่อให้เราสามารถจัดการกับทรัพยากรโลกที่มีอย่างจำกัดพอเหมาะได้





ผ่านจักรวาลของ 365 และมาถึงโปรเจ็กต์ที่ได้ร่วมงานกับ Honne ในเพลง Spaceman
เอ็นดูความหวีดศิลปินอีกทีของมิวที่เล่าว่า ตอนประชุมด้วยกันครั้งแรก แทบจะไม่ได้ฟังเขาพูดเลย
คิดอย่างเดียวว่าจะขอถ่ายรูปตอนไหน ทำให้เข้าใจหัวอกแฟนคลับอีกที
XD




ส่วนมิวในพาร์ตของ ศิลปิน กับ CEO ขัดแย้งกันบ้างไหมนั้น
มิว: มีเยอะมากๆ แต่ต้องขอบอกว่าทั้งสองคนทำงานร่วมกัน สมมติศิลปินมิวอยากทำการใหญ่
CEO มิวก็จะคล้อยตาม แต่งบไม่พอ ก็เลยจะให้คนในทีมหางบมาเพิ่ม ส่วนทิศทางในอนาคตของ Mew Suppasit Studio เดี๋ยวจะมีซีรีส์มีหนัง และศิลปินมาอยู่ในค่ายเพิ่มมากขึ้น และ Mew Suppasit Studio อาจจะโคฟเวอร์ไม่อยู่อาจตั้งบริษัทใหม่เพิ่ม และก่อนหน้านี้ไม่คิดว่า Mew Suppasit Studio จะมาไกลขนาดนี้ตอนแรกตั้งมาเพื่อคิดว่าดูแลเพลง Season of you แต่เลยเถิดมาไกลมากๆ และมีโปรเจ็กต์อะไรเข้ามาและได้คุยกับงานต่างชาติมากขึ้น เลยคว้าโอกาสนี้ไว้ ส่วนการทำซีรีส์ The Ocean Eyes ตอนนี้แก้บทมา 10 รอบแล้ว เปลี่ยนทีมเขียนบทเป็นทีมจากเมกาเลย เราชอบงานเขามากพอมาได้มาอยู่ต่อหน้าตอนประชุมกันเราหน้าร้อนจี๊ดเลยแต่ทำขรึมไว้ และซีรีส์เรื่องนี้ก็ใกล้จะเปิดกล้องและมีการแถลงข่าวเรื่องทีมงานเร็วๆ นี้
โปรเจ็กต์ล่าสุดกับงานภาพยนตร์ คุณ CEO แย้มให้ฟังว่า ตอนแรกสเกลคิดว่าจะทำกับคนไทย แต่พอทำกับต่างชาติแล้วติดใจ
ก็จะใช้ทีมต่างชาติ แต่ว่าใช้งบเยอะมากๆ แต่ว่าก็นั่นแหละศิลปินมันอยากทำ ก็เลยต้องหาทุน





กิจวัตรประจำวันช่วงนี้ของมิวมิว ก็จะมีกลับมาฟิตหุ่นเพราะต้องใช้ในซีรีส์ The Ocean Eyes และมีงานประจำวัน
งานไลฟงานถ่ายอะไรต่างๆ มีเรียนภาษาอังกฤษเพราะตอนนี้ต้องใช้เยอะมากๆ ว่างเมื่อไรก็แต่งเพลง ที่เหลือก็นอน ส่วนสิ่งที่อยากทำมากที่สุด คุณเขาย้อนกลับไปเดินตามความฝันในวัยเด็กนั่นคือการได้ไปเหยียบดวงจันทร์ ที่ทำให้อยากไปเหยียบก็เพราะหนังเรื่อง Armageddon แต่ดวงจันทร์ไม่ค่อยส่งผลอะไรกับมิว แต่จะเป็นสภาพอากาศมากกว่าเป็นคนชอบฝนตก กลางคืนชอบดูดาว และในฐานะมนุษย์คนนึง เป้าหมายที่อยากทำในตอนนี้คืออยากพูดคำนี้บ่อยๆ Global Citizen  ให้หลายๆ คนตระหนักถึงคำนี้มากขึ้น ช่วยเหลือกัน สามารถเชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้น และอยากให้เราสามารถช่วยกันจัดสรรทรัพยากรให้ยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น





และสิ่งที่ทุกคนจะได้เห็นใน 365 วันหลังจากนี้
มิว: อย่างแรกเลยทุกคนจะได้ดู The Ocean Eyes แบบปังๆ และ Global Artist คนอื่นๆ
ทุกคนจะได้งานคุณภาพแน่นอน ปีหน้าจะเห็นอัลบั้ม 2 ที่ได้เห็นความแตกต่าง จะมีเรื่องราวใหม่ๆ ที่ไม่เคยเล่ามาผ่านบทเพลง
พวกนี้ และจะมีเด็กใหม่เข้ามา จะได้ไปทำงานที่ต่างประเทศแล้ว คงคิดถึงแฟนๆ ไทย จะได้ไปรึเปล่าปีหน้า (หัวเราะ)




#มิวศุภศิษฏ์

ขอบคุณภาพและคลิปจาก
YT: THE STANDARD POP
@MaeMeeMew
แก้ไขล่าสุด 23 พ.ย. 64 12:58 | เลขไอพี : ไม่แสดง | ตั้งกระทู้โดย Windows 10

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google