อีลอน มักส์ เจ้าพ่อเทคโนโลยี กับ Carbon credit
3 ธ.ค. 64 15:02 น. /
ดู 12,953 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
อีลอน มัสก์ ชื่อนี้ที่ใครๆก็คุ้นเคย บุคคลมากความสามารถ ในวัย 50 ปี เป็นทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน วิศวกร และนักประดิษฐ์ ไม่ว่าจะเป็น
บริษัท สเปซ เอ็กซ์ (SpaceX) บริษัทเอกชน ด้านการขนส่งทางอวกาศ ก่อตั้งเมื่อปี 2002 จุดมุ่งหมายของการจัดตั้งเพื่อต้องการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังอวกาศ นั่นเอง ล่าสุดเมื่อเดือน ก.พ.64 ที่ผ่านมาก็ได้มีการทดลองปล่อยจรวดฟอลคอนเฮฟวี (Falcon Heavy) ออกสู่วงโคจรนอกโลก
Paypal เป็นระบบการโอนเงินแบบออนไลน์ ที่ใช้กันทั่วโลก แต่เมื่อปี ค.ศ.2002 ได้ขายบริษัทให้กับ Ebay เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตนเองถือหุ้นของบริษัทเพียง 11.7% เท่านั้น
แต่ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับความสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นคือ บริษัท Tesla Motors บริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุด ผลิตรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 100% ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น ประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ไม่ใช้เชื้อเพลิง,ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ที่สำคัญมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่เห็นจะตื่นตาตื่นใจกับสาวกนั่นคือ Autopilot ระบบช่วยขับ โดยให้ AI เข้ามามีส่วนร่วมด้วย สร้างรายได้ให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ ถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐีอันดับที่ 1 ของโลกโดยมีทรัพย์สินในครอบครอง 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5.56 ล้านบาท และมีข้อมูลในเชิงลึกว่า นอกจากรายได้จากการขายรถไฟฟ้าเทสล่าแล้ว อีกหนึ่งรายได้ที่ได้รับเป็นก่อเป็นกำมากกว่าการขายเทสล่าก็คือ การขายคาร์บอนเครดิตเพราะบริษัทเทสล่า เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีเชื้อเพลิงเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการลดคาร์บอนอยู่แล้ว จึงมีฐานะเป็นผู้ผลิต
โดยคาร์บอนเครดิต คือการซื้อขายคาร์บอน โดยเน้นย้ำกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ให้หันมาลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต ปี 1997 ซึ่งวิธีการซื้อขายทำได้หลากหลายวิธี เช่น
การปลูกป่าทดแทน
การให้มันใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์โซล่าเซล
เปลี่ยนรูปแบบการใช้ดิน ให้เป็นแหล่งเก็บคาร์บอน
หากไม่สามารถกระทำได้ ก็สามารถทำการซื้อขายจากประเทศอื่นมาเป็นของตนเองได้
ซึ่งตามพิธีสารโตเกียว จะมีรายชื่อสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ต้องช่วยลดจำนวนคาร์บอนของประเทศตนเองลง เราเรียกว่าการซื้อขายภาคบังคับ และรัฐบาลของแต่ละประเทศก็จะกำหนดมาตรการแก่เอกชนในประเทศให้มีความรับผิดชิบ และช่วยกันลดคาร์บอนลง และอีกรูปแบบหนึ่งคือภาคสมัครใจ ซื้อขายเพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กรตนเอง
-
ส่วนประเทศไทยนั้น จัดอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา จึงไม่มีการบังคับในเรื่องนี้ แต่ก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่ คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์การมหาชน (อบก.) Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization) และพฤติกรรมคนไทยก็เริ่มเปลี่ยนไป เช่น การงดใช้ถุงพลาสติก, ร่วมโครงการปลูกป่า, หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์โซล่าเซลล์ เชื่อว่าหากมีการบังคับใช้เรื่องการลดคาร์บอนตามพิธีสารโตเกียว ประเทศไทยจะสามารถปรับลดคาร์บอนในได้อย่างแน่นอน
บริษัท สเปซ เอ็กซ์ (SpaceX) บริษัทเอกชน ด้านการขนส่งทางอวกาศ ก่อตั้งเมื่อปี 2002 จุดมุ่งหมายของการจัดตั้งเพื่อต้องการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังอวกาศ นั่นเอง ล่าสุดเมื่อเดือน ก.พ.64 ที่ผ่านมาก็ได้มีการทดลองปล่อยจรวดฟอลคอนเฮฟวี (Falcon Heavy) ออกสู่วงโคจรนอกโลก
Paypal เป็นระบบการโอนเงินแบบออนไลน์ ที่ใช้กันทั่วโลก แต่เมื่อปี ค.ศ.2002 ได้ขายบริษัทให้กับ Ebay เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตนเองถือหุ้นของบริษัทเพียง 11.7% เท่านั้น
แต่ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับความสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นคือ บริษัท Tesla Motors บริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุด ผลิตรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 100% ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น ประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ไม่ใช้เชื้อเพลิง,ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ที่สำคัญมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่เห็นจะตื่นตาตื่นใจกับสาวกนั่นคือ Autopilot ระบบช่วยขับ โดยให้ AI เข้ามามีส่วนร่วมด้วย สร้างรายได้ให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ ถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐีอันดับที่ 1 ของโลกโดยมีทรัพย์สินในครอบครอง 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5.56 ล้านบาท และมีข้อมูลในเชิงลึกว่า นอกจากรายได้จากการขายรถไฟฟ้าเทสล่าแล้ว อีกหนึ่งรายได้ที่ได้รับเป็นก่อเป็นกำมากกว่าการขายเทสล่าก็คือ การขายคาร์บอนเครดิตเพราะบริษัทเทสล่า เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีเชื้อเพลิงเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการลดคาร์บอนอยู่แล้ว จึงมีฐานะเป็นผู้ผลิต
โดยคาร์บอนเครดิต คือการซื้อขายคาร์บอน โดยเน้นย้ำกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ให้หันมาลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต ปี 1997 ซึ่งวิธีการซื้อขายทำได้หลากหลายวิธี เช่น
การปลูกป่าทดแทน
การให้มันใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์โซล่าเซล
เปลี่ยนรูปแบบการใช้ดิน ให้เป็นแหล่งเก็บคาร์บอน
หากไม่สามารถกระทำได้ ก็สามารถทำการซื้อขายจากประเทศอื่นมาเป็นของตนเองได้
ซึ่งตามพิธีสารโตเกียว จะมีรายชื่อสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ต้องช่วยลดจำนวนคาร์บอนของประเทศตนเองลง เราเรียกว่าการซื้อขายภาคบังคับ และรัฐบาลของแต่ละประเทศก็จะกำหนดมาตรการแก่เอกชนในประเทศให้มีความรับผิดชิบ และช่วยกันลดคาร์บอนลง และอีกรูปแบบหนึ่งคือภาคสมัครใจ ซื้อขายเพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กรตนเอง
-
ส่วนประเทศไทยนั้น จัดอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา จึงไม่มีการบังคับในเรื่องนี้ แต่ก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่ คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์การมหาชน (อบก.) Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization) และพฤติกรรมคนไทยก็เริ่มเปลี่ยนไป เช่น การงดใช้ถุงพลาสติก, ร่วมโครงการปลูกป่า, หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์โซล่าเซลล์ เชื่อว่าหากมีการบังคับใช้เรื่องการลดคาร์บอนตามพิธีสารโตเกียว ประเทศไทยจะสามารถปรับลดคาร์บอนในได้อย่างแน่นอน
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย MacOS
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google