PM2.5 กระทบปัญหาสุขภาพ รัฐทำยังไงเมื่อปัญหาหมอกควันลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้าน
29 เม.ย. 65 16:02 น. /
ดู 1,907 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
นอกจากปัญหาโรคไวรัสโคโรน่า 2019 ที่ระบาดอยู่แล้ว ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาที่มีมาอย่างต่อเนื่องกับฝุ่น PM 2.5 โดยเมื่อวันที่ 14 เม.ย.65 จากการจัดอันดับดัชนีคุณภาพอากาศทั่วโลก ผ่านแอปแพลิเคชั่น IQAir พบว่า จังหวัดเชียงใหม่ของประเทศไทยเป็นเมืองที่คุณภาพอากาศแย่อันดับ 1 ของโลก โดยค่าฝุ่นอยู่ที่ 176 สาเหตุส่วนหนึ่งมากจากฝุ่นควันข้ามแดน จากการเผาในที่โล่งฝั่งประเทศลาวและพม่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.65 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศลาวเกิดจุดความร้อนเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า "ปลัดกระทรวง ทส. ในฐานะคณะกรรมการภายใต้รัฐมนตรีประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนว่า ด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ได้แจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียน ให้ประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขงยกระดับการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ได้แจ้งปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีในการประชุม ครม. ที่ผ่านมา พร้อมขอความร่วมมือกระทรวงการต่างประเทศในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอีกทางหนึ่ง โดยหวังว่าการยกระดับความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยเร็ว และยังระบุเพิ่มเติมว่า จำนวนจุดความร้อนในอนุภูมิภาคแม่โขงปี 2565 ดีขึ้นกว่าปี 2564 โดยจำนวนจุดความร้อนสะสมตั้งแต่เดือน ม.ค. จนถึงปัจจุบันลดลงถึงร้อยละ 38
เนื่องจากก่อนหน้านั้นนายวราวุธฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานมอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าในภาคเหนือ โดยเน้นนโยบาย "ชิงเก็บ" เช่นเดียวกับปี 2564 ที่ผ่านมา"
ด้านศูนย์แก้ไข ปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) คาดการณ์ว่าสถานการณ์ PM2.5 ในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ หลังวันที่ 14 เม.ย.65 ไปจนถึงวันที่ 19 เม.ย. 2565 เนื่องจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่เอื้อต่อการระบายอากาศ เมื่อพิจารณาการผลักดันการแก้ไขปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ปี 2565 ปัญหาฝุ่น PM2.5 จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2564 แต่มาตรการแก้ปัญหาตามวาระแห่งชาติการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังไม่บรรลุผลสำเร็จเท่าที่ควร เช่น ในพื้นที่ภาคเหนือที่ยังเกิดจุดความร้อนจากการเผาป่าอยู่ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าอนุรักษ์
ที่สำคัญประเด็นที่สะท้อนว่ารัฐบาลไม่จริงใจแก้ปัญหาก็คือ การปรับค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศเฉลี่ยรายปีและเฉลี่ยรายวัน 24 ชม. ให้เป็นไปตามเป้าหมายระยะที่ 3 ขององค์การอนามัยโลก (WHO Interim Target-3) ซึ่งกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง" พบว่าในการประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.65 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบให้ปรับค่ามาตรฐานฝุ่น PM 2.5 รายปีกำหนดที่ 15 มคก./ลบ.ม. ภายในปี 2565 ทั้งที่ตามแผนฯ กำหนดให้ดำเนินการภายในปี 2564 ขณะที่ค่ามาตรฐานฝุ่นเฉลี่ยราย 24 ชม.ที่ตามแผนฯ กำหนดไว้ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. ได้เห็นชอบให้ดำเนินการภายในปี 2567 แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือที่ประชุมได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ จัดทำร่างประกาศค่ามาตรฐาน PM2.5 โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดเงื่อนเวลาการบังคับใช้ค่ามาตรฐาน และให้นำเสนอร่างประกาศในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งต่อไป นั่นหมายถึง การเลื่อนการปรับค่าฝุ่นออกไปอย่างไม่มีเหตุอันควร ทั้งๆ สามารถทำได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวตาม
ส่วนการแก้ปัญหาที่แหล่งกำเนิดจากการขนส่งทางถนน ล่าสุดกรมควบคุมมลพิษ ได้ออกประกาศกำหนดมาตรฐานค่าควันดำของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด พ.ศ. 2564 กำหนดค่าความทึบแสงไม่เกินร้อยละ 30 จากเดิมไม่เกินร้อยละ 45 และค่ากระดาษกรองไม่เกินร้อยละ 40 จากเดิมไม่เกินร้อยละ 50 ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 13 เม.ย. 2565 และได้ออกตั้งตั้งจุดตรวจควันดำในพื้นที่ต่าง ๆ
ทั้งนี้ คพ.รายงานว่าตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564 - 11 เม.ย. 2565 มีการตรวจควันดำทั่วประเทศ โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ ตรวจสอบ 164,560 คัน เกินมาตรฐาน 46,176 คัน สำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดตรวจสอบ 82,096 คัน เกินมาตรฐาน 1,165 คัน ซึ่งการตรวจควันดำถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจากยังไม่มีการปรับมาตรฐานเชื้อเพลิงในรถยนต์ตามมาตรฐานยูโร, การติดตั้งระบบบำบัดไอเสีย เช่น อุปกรณ์กรองเขม่าในเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) ไม่คืบหน้า, นโยบายห้ามรถเก่า 20 ปีเข้าพื้นที่เมืองหรือกำหนดเขตมลพิษต่ำไม่มีรูปธรรม ฯลฯ
รัฐบาลรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า "ปลัดกระทรวง ทส. ในฐานะคณะกรรมการภายใต้รัฐมนตรีประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนว่า ด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ได้แจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียน ให้ประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขงยกระดับการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ได้แจ้งปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีในการประชุม ครม. ที่ผ่านมา พร้อมขอความร่วมมือกระทรวงการต่างประเทศในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอีกทางหนึ่ง โดยหวังว่าการยกระดับความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยเร็ว และยังระบุเพิ่มเติมว่า จำนวนจุดความร้อนในอนุภูมิภาคแม่โขงปี 2565 ดีขึ้นกว่าปี 2564 โดยจำนวนจุดความร้อนสะสมตั้งแต่เดือน ม.ค. จนถึงปัจจุบันลดลงถึงร้อยละ 38
เนื่องจากก่อนหน้านั้นนายวราวุธฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานมอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าในภาคเหนือ โดยเน้นนโยบาย "ชิงเก็บ" เช่นเดียวกับปี 2564 ที่ผ่านมา"
ด้านศูนย์แก้ไข ปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) คาดการณ์ว่าสถานการณ์ PM2.5 ในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ หลังวันที่ 14 เม.ย.65 ไปจนถึงวันที่ 19 เม.ย. 2565 เนื่องจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่เอื้อต่อการระบายอากาศ เมื่อพิจารณาการผลักดันการแก้ไขปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ปี 2565 ปัญหาฝุ่น PM2.5 จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2564 แต่มาตรการแก้ปัญหาตามวาระแห่งชาติการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังไม่บรรลุผลสำเร็จเท่าที่ควร เช่น ในพื้นที่ภาคเหนือที่ยังเกิดจุดความร้อนจากการเผาป่าอยู่ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าอนุรักษ์
ที่สำคัญประเด็นที่สะท้อนว่ารัฐบาลไม่จริงใจแก้ปัญหาก็คือ การปรับค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศเฉลี่ยรายปีและเฉลี่ยรายวัน 24 ชม. ให้เป็นไปตามเป้าหมายระยะที่ 3 ขององค์การอนามัยโลก (WHO Interim Target-3) ซึ่งกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง" พบว่าในการประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.65 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบให้ปรับค่ามาตรฐานฝุ่น PM 2.5 รายปีกำหนดที่ 15 มคก./ลบ.ม. ภายในปี 2565 ทั้งที่ตามแผนฯ กำหนดให้ดำเนินการภายในปี 2564 ขณะที่ค่ามาตรฐานฝุ่นเฉลี่ยราย 24 ชม.ที่ตามแผนฯ กำหนดไว้ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. ได้เห็นชอบให้ดำเนินการภายในปี 2567 แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือที่ประชุมได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ จัดทำร่างประกาศค่ามาตรฐาน PM2.5 โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดเงื่อนเวลาการบังคับใช้ค่ามาตรฐาน และให้นำเสนอร่างประกาศในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งต่อไป นั่นหมายถึง การเลื่อนการปรับค่าฝุ่นออกไปอย่างไม่มีเหตุอันควร ทั้งๆ สามารถทำได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวตาม
ส่วนการแก้ปัญหาที่แหล่งกำเนิดจากการขนส่งทางถนน ล่าสุดกรมควบคุมมลพิษ ได้ออกประกาศกำหนดมาตรฐานค่าควันดำของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด พ.ศ. 2564 กำหนดค่าความทึบแสงไม่เกินร้อยละ 30 จากเดิมไม่เกินร้อยละ 45 และค่ากระดาษกรองไม่เกินร้อยละ 40 จากเดิมไม่เกินร้อยละ 50 ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 13 เม.ย. 2565 และได้ออกตั้งตั้งจุดตรวจควันดำในพื้นที่ต่าง ๆ
ทั้งนี้ คพ.รายงานว่าตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564 - 11 เม.ย. 2565 มีการตรวจควันดำทั่วประเทศ โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ ตรวจสอบ 164,560 คัน เกินมาตรฐาน 46,176 คัน สำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดตรวจสอบ 82,096 คัน เกินมาตรฐาน 1,165 คัน ซึ่งการตรวจควันดำถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจากยังไม่มีการปรับมาตรฐานเชื้อเพลิงในรถยนต์ตามมาตรฐานยูโร, การติดตั้งระบบบำบัดไอเสีย เช่น อุปกรณ์กรองเขม่าในเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) ไม่คืบหน้า, นโยบายห้ามรถเก่า 20 ปีเข้าพื้นที่เมืองหรือกำหนดเขตมลพิษต่ำไม่มีรูปธรรม ฯลฯ
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย MacOS
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google