เซ้นต์ กับ 1 วันของการทำงาน ที่ได้เปล่งประกายออร่าและเจื้อยแจ้วเต็มที่

นอกจากจะไปร่วมงาน Pride ผลักดันความเท่าเทียมที่มหาลัยเก่าของตัวเองแล้ว
วันนั้น (24 มิ.ย.) หนุ่ม เซ้นต์ ศุภพงษ์ เขาก็วิ่งหลายงานให้เหล่าหมิงเอ๋อได้ตามกันให้หายคิดถึงไปเลย เริ่มที่งานในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของ TRUE5G ที่ได้ไปร่วมงานเปิดมหกรรม Mobile & IT Festival
ที่ออร่าคุณเขาเจิดจรัสมากในสูทขาวเชิ้ตแดงนี้






โตเป็นหนุ่มห้าขวบแล้ว จะใส่เสื้อแบบปลดกระดุมกี่เม็ดก็ได้ 








ขณะเดียวกันช่วงนี้ก็จะมุ้จุ้แก้มฟูหน่อย ซึ่งทีมแม่ๆ น่าจะถูกใจสิ่งนี้ 🤏






และตอนไปพูดคุยบนเวทีในงานคุณเขาก็ฮาร์ดเซลขายเก่งมาก แถมพ่วงขายซีรีส์ Sing Again
ของตัวเองที่กำลังฉายทาง True ด้วย




ได้ให้สัมภาษณ์พี่ๆ สื่อและเจื้อยแจ้วถึงบรรยากาสหลังไปถ่ายละครที่สวิตฯ ให้ฟังอีกว่า
ไปนู่นก็สนุกกันมาก ทุกคนตื่นเต้นหมดยันทีมงานและนักแสดง เราไปก็ช่วยกันยกของ
สนุกกัยการได้เรียนรู้การเป็นช่างไฟ ทีมอาหาร ทีมคอสตูม ได้เรียนรู้ทุกอย่าง เหมือนไปเรียนรู้รากฐาน
ของการเป็นผู้จัดที่ดี ที่นู่นสวยมาก วิวคือสวยทุกที่เลย ไปมาทั้งหมด 12 วัน เรื่องความคืบหน้าของการถ่าย
เรื่องพรชีวัน ที่ไปสวิตฯ ประมาณ 10% ได้ และเล่นเรื่องนี้ก็กดดันพอสมควร ถึงขั้นไปอ่านนิยายว่าตัวรณภูมิเป็นยังไง ทำการบ้านหนักมาก เราเป็นนักแสดงใหม่ด้วยพอได้เล่นโปรเจ็กต์ใหญ่ก็อยากจะทำให้ดีที่สุด และเริ่มได้เข้าซีนกับรุ่นใหญ่ แม่ตุ๊ก ดวงตา ก็เกร็งเลย และที่เซ้นต์ออกมาโพสต์เตือนภัยเรื่องมิจฉาชีพ ก็คือเหมือนมีแฟนคลับโดนผู้ไม่ประสงค์ดีปลอมแปลงหลอกเป็นผมและให้โอนเงินให้ รู้สึกว่าไม่น่ารักเลยเลยต้องออกมาเตือน มีหลายเคสอย่างแบบ  รู้จักผมขอความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่จะเป็นช่องทางออนไลน์ดีเอ็มไป ใครเจอแบบไม่มีเครื่องหมายติ๊กถูกคือไม่ใช่ผมละ และที่รู้ว่ามีอะไรแบบนี้เพราะแฟนๆ ไปเจอแล้วโพสต์ลงเราก็ไปเห็น จริงๆ ตัวผมเสียหายไม่เท่าไร
แต่ไปหลอกแม่ๆ แฟนคลับอันนี้ผมโกรธ   




เสร็จจากงานนี้และงาน Pride ที่ มศว คุณเขาก็มีไปให้สัมในรายการแฉต่อ
แล้วเปลี่ยนชุดคราวนี้เสื้อปิดยันคอเลย XD






คุณเขาได้ไปเล่าถึงเส้นทางในวงการ และเผยว่าครั้งนึงเคยถูก เอ ศุภชัย ทาบทามให้เข้าวงการด้วย
เจ้าตัวบอก ไปเจอกันที่สยาม ตอนนั้นเด็กๆ ยังไม่รู้ก็ไปขอพี่เอ บอกว่าผมอะไม่หล่อเลย เป็นเด็กผู้ชายหน้าหวาน
วงการบันเทิงมีแต่หน้าเข้มๆ แต่ผมทำธุรกิจได้ ขอไปช่วยดูร้านตำแหลพี่เอได้ไหม ก็ไปช่วยดูร้านเขาให้อะไรก็ทำหมด พี่เอมีร้านเสื้อผ้าด้วยก็ไปดูด้วย ตอนนั้นพี่เอก็ชักชวนให้เข้าวงการว่าลองดูไหม แต่ผมอยากทำธุกิจและพอมาค่ายอาสามันก็เปลี่ยนและคิดว่าวันนึงเราจะมีชื่อเสียงเพื่อพาคนไปทำดีให้ได้มากที่สุด และที่เลือกเข้าวงการด้วยการไป
แคสต์เองก็เพราะว่า เราอยากลองเรียนรู้ ก็มีเอเจนซี่โฆษณามาติดต่อ แล้วเคยมีแบบไปแคสต์รอตั้งแต่บ่ายโมงยันเที่ยงคืน พอเข้าไปถึงเขาบอกได้คนแล้ว เราเลยเดินเข้าไปบอกพี่เขาว่าผมไม่ขอไรมากผมไม่เคยเรียนการแสดง พี่ดูผมเล่นเหอะ แล้วพี่ช่วยติชมผมก็ได้ จำได้เคยมีเดือนนึงแคสต์ 80-90 งาน ตอนนั้นได้งานเดียว อารมณ์เป็นแบบ Extra ไกลๆ จนมีโอกาสแคสต์ซีรีส์บังเอิญรัก ก็แบกบทมาหาพี่เอ ให้ช่วยดูให้หน่อย และพี่เอบอกเล่นเลยน้องเซ้นต์ พี่เอน่ารักมาก ตรงนี้ต้องหยั่งงี้นะถ้าไม่ดีพี่ช่วยจากบังเอิญรักในวันนั้นที่เป็นนักแสดง ก็ทำมาเรื่อยๆ จนมีวันนี้ ถามว่าบังเอิญรักเปลี่ยนชีวิตยังไงบ้าง มันคือการเรียนรู้ในเรื่องของการรับผิดชอบวันนี้ไม่ได้คิดเพียงว่าเราแคสต์เพื่อตามหาความฝันแต่ในความฝันที่เราจะทำไปเรามีคนข้างหลัง อย่างผู้จัดที่เขาให้โอกาสเราก็พูดต่อได้ว่า น้องเขาตั้งใจในงานที่เขาเลือกเรามา ก็รู้สึกดีใจ ส่วนการรับมือกับข่าวแง่ลบที่เข้ามาทั้งเรื่องที่มีเสี่ยเลี้ยงและเรื่องค่ายอาสาที่เป็นเรื่องหลอกลวง ก็จะเช็กก่อนว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม หรือเรื่องค่ายอาสาพี่ๆ ที่ทำด้วยกันที่มหาลัยก็พูดให้ว่าเราทำจริง




มาถึงตอนนี้ได้เป็นผู้จัดด้วย โดนถามว่ามีความแตกต่างกับการเป็นนักแสดงยังไง
เซ้นต์ซุปบอก ตอนเป็นนักแสดงเบื้องหลังเขาจะเตรียมให้หมด พอเป็นผู้จัดจะต้องทำบท
หาโลเคชั่นหานักแสดงต้องทำทั้งหมด ถามว่าเรื่องแรกขาดทุนไหมก็พอๆ กับทุน แต่ถ้า
ถามว่าเป็นดารากับผู้จัดอะไรเหลือเงินเยอะกว่า ก็ต้องเป็นนักแสดง แต่ผมทำด้วยอุดมการณ์
ข้อนึงคือมันเป็นกำไรที่ได้มากกว่าแค่เรื่องเงิน เห็นน้องได้พัฒนามีชื่อเสียงมีแฟนคลับ
รู้สึกมีความสุขกับตรงนั้น




ก็คือได้ออกงานพูดเจื้อยแจ้วทั้งวันเลย แต่หมิงเอ๋อก็สู้มาก มาอยู่รอจนได้ส่งเซ้นต์ซุปขึ้นรถกลับบ้านกันเลย 







#เซ้นต์ศุภพงษ์