"พลังคนไทย" การให้ที่ยั่งยืนด้วยกิจกรรม CSR ท่ามกลาง COVID-19

10 ต.ค. 65 19:25 น. / ดู 13,275 ครั้ง / 1 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
ระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาคนไทยต้องอยู่กับไวรัส COVID-19 ทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบและลำบากไปตาม ๆ กัน แต่เพราะนิสัยของคนไทยที่มีน้ำใจให้กันเสมอ ทำให้เรายังได้เห็นคนไทยจำนวนมาก ออกมาช่วยเหลือคนในสังคมที่เดือดร้อน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือกันทั้งในนามบุคคลและองค์กรหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน แต่เป็นเพราะพวกเขายังมีกำลังพอจะช่วยเหลือคนอื่นได้ จึงให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนมากกว่า โดยเฉพาะองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่แม้ว่าจะต้องหยุดทำธุรกิจใน ช่วงล็อกดาวน์ประเทศ ขาดรายได้ไป แต่หลายที่ก็ยังออกมาช่วยเหลือคนในสังคมกันเยอะมาก
ในช่วงปีนี้เราได้เห็นหลายองค์กรออกมาช่วยเหลือสังคมกันคึกคักมากกว่าช่วง 2 ปีแรกที่มีการแพร่ระบาดของโควิดนะ อาจเป็นเพราะทุกอย่างเริ่มคลี่คลายดีขึ้น สามารถกลับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น จนเกือบจะเป็นปกติกันแล้ว เลยลองๆรวมองค์กรที่ทำกิจกรรมพวกCSR ช่วยเหลือสังคมที่โดนใจเรามาให้ดูกัน

ที่แรกที่อยากจะพูดถึงก็คือ คิงเพาเวอร์ เพราะว่าเขาทำกิจกรรมเยอะจริงและต่อเนื่อง ที่ชอบคือเน้นกิจกรรมเพื่อสังคมในระยะยาว ให้โอกาสทั้งเยาวชน ชุมชนในระดับล่างด้วยโดยผ่านกิจกรรม 3 ด้านหลัก คือ เรื่องกีฬา เช่น  การแจกลูกฟุตบอลและสนับสนุนกีฬาให้เด็กไทยใน 77  จังหวัดกับแคมเปญ 100 สนามฟุตบอลสร้างพลังเยาวชนไทย เป็นการสร้างสนามฟุตบอลให้เด็ก ๆ ได้เตะบอล หันมาเอาดีทางด้านกีฬาดีกว่าไปมุ่งกับเรื่องอื่นๆที่ไม่เหมาะสม



เรื่องดนตรีก็สนับสนุนกิจกรรมหลายรูปแบบ ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ก็เป็นการจัดประกวด The Power Band 2022 Season 2 ซึ่งปีนี้มีวงดนตรีฝีมือเทพ ๆ เข้าแข่งขันเยอะเลย ส่วนชุมชนก็เช่น การนำผ้ามัดย้อมจากภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคเหนือ ผลิตเป็นสินค้าไปขายในต่างประเทศ สร้างชื่อให้สินค้าไทยเยอะมาก ปีนี้ยังได้ร่วมกับ LCFC หรือสโมสรเลสเตอร์ซิตี้จัดทำสินค้าแฟชั่นคอลเลคชั่น THAI SONG DUM (ไทยทรงดำ) เพื่อสร้างชื่อให้สินค้าไทยแบบต่อเนื่องอีกด้วย (เราชอบตั้งแต่คอลเล็คชั่นผ้ามัดย้อมแล้ว) นี่ยังไม่รวมที่คิงเพาเวอร์ไปบริจาคหรือสนับสนุนด้วยเงินอีกเยอะ เช่น เป็นผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุนรายการ Super ten ให้เงินช่วยเด็กที่มีความสามารถเป็นรายการที่ สว ที่บ้านเปิดดูประจำ ฮา..

            องค์กรที่สองไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะโด่งดังกลายเป็นกระแสบนโลกโซเชียลที่คนพูดถึงกันเยอะมากถึงกับติดเทรนด์ # ต่างๆ แถมหลายคนยังพร้อมใจออกมาแสดงจุดยืนจะสนับสนุนสินค้าของแบรนด์นั้นด้วย นั่นก็คือ การบริจาคเงินส่วนตัวถึง 900 ล้านบาท! ของคุณจุน วนวิทย์ เจ้าของแบรนด์พัดลม ฮาตาริ วัย 85 ปี พร้อมกับครอบครัวให้แก่มูลนิธิรามาธิบดี ถือเป็นเรื่องฮือฮาที่คนไทยส่วนใหญ่ต่างก็ชื่นชมในความจิตใจดีของเจ้าของแบรนด์พัดลมฮาตาริ ข่าวการบริจาคเงินของฮาตาริทำให้หน้าฟีดเฟสบุ๊คของคนไทยส่วนใหญ่แห่กันโพสต์รูปพัดลมฮาตาริที่มีใช้อยู่ที่บ้าน (เราก็คนนึงละที่ตามกระแสด้วย555) ส่วนคนที่ไม่มีก็แชร์ข่าวและโพสต์ว่า จะไปซื้อและร่วมสนับสนุนสินค้าของฮาตาริด้วย

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากเว็บกรุงเทพธุรกิจบอกว่าช่วงวันที่ 28 ก.ค.65 ข่าวการบริจาคเงินครั้งนี้ทำให้แบรนด์ฮาตาริติดท็อป 3 การค้นหาบน Google trends และ 10 อันดับเทรนด์จาก Wisesight ที่ผู้บริโภคพูดถึงบนโลกออนไลน์ จำนวน 8 อันดับกับเรื่องราวประสบการณ์ดี ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพัดลม "ฮาตาริ" นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าองค์กรไหนทำดีคนไทยส่วนใหญ่ก็ให้ความสนใจ พร้อมสนับสนุน และยกย่อง ถือเป็นพลังคนไทยที่พร้อมช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่เสมอจริงๆ






องค์กรต่อไปก็กลุ่มปูซีเมนต์ไทย หรือ SCG ที่อยากจะพูดถึงคือ เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCG Chemicals) ที่เป็นผู้นำธุรกิจด้านปิโตรเคมีของเอเชียที่มีแนวทางในการช่วยเหลือสังคม ด้วยการใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และเน้นเรื่องพลังงานสะอาด สิ่งแวดล้อม รักษ์โลก เพราะต้องการทำธุรกิจที่ทำให้สังคมน่าอยู่ ให้ไม่มีปัญหาจากการผลิตกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะยาวหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ว่านั้น มีด้วยกัน 4 ด้านหลัก คือ 1.Reduce 2. Recyclable 3.Recycle  4.Renewable

นอกจากนี้ SCG  ยังเน้นเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง จะได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ที่หลากหลาย และให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก อันนี้ที่ชอบมากเพราะเขาประกาศไว้ว่า ภายในปี 2593 จะขอเป็นบริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Company อีกด้วย

อีกเรื่องในกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยที่เราชอบก็คือ SCGP ที่เป็นผู้ผลิตพวกบรรจุภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ที่จะนำเอากระดาษหรือลังกระดาษที่ใช้แล้วมาจัดการด้วยเทคโนโลยีรีไซเคิลให้กลายเป็นกล่องกระดาษใบใหม่ที่แข็งแรงพร้อมใช้งานอีกครั้งที่เราเห็นกันตามงานต่างๆ สมัยนี้ ในงานหนังสือก็ใช้พวกกล่องรีไซเคิลมาทำชั้นหนังสือ เก้าอี้ให้คนนั่ง สวยด้วยครีเอทีฟด้วยแถมรักษ์โลกอีกต่างหาก

อีกองค์กรที่หันมาให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและใกล้ชิดกับพวกเราก็คือ โลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ขายสินค้าของกินของใช้ประจำวันที่มองเห็นแล้วว่าเรื่องรีไซเคิลเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นจะต้องร่วมมือกันทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ เป็นแนวทางสร้างสังคมให้น่าอยู่ ลดปัญหาขยะและมลพิษให้น้อยลง โลตัสเลยจัดพื้นที่รับบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล ให้ลูกค้าและคนทั่วไปได้มีส่วนช่วยในการกำจัดขยะและนำขยะกลับมาใช้ซ้ำได้ เป็นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม





การที่หลาย ๆ องค์กรออกมาช่วยเหลือสังคมได้ขนาดนี้ จุดเริ่มต้นคงต้องมาจากผู้บริหารสูงสุดหรือผู้นำองค์กร คนที่มีอำนาจการตัดสินใจ วางนโยบายและทิศทางของธุรกิจ ว่าจะไปทางไหน จะเติบโตยังไง และจะช่วยเหลือสังคมหรือไม่ อย่างฮาตาริที่มีคุณจุนและครอบครัวทั้งหมดที่ต้องการตอบแทนสังคมและประเทศที่เขาได้เข้ามาทำมาหากิน สร้างธุรกิจให้เติบโต เมื่อมีโอกาสก็ยินดีจะช่วยสังคมกลับคืน

หรืออย่าง คิงเพาเวอร์ ก็เป็นเจตนารมณ์สำคัญของเจ้าสัววิชัย ผู้ก่อตั้งที่ได้วางรากฐานในเรื่องนี้ตั้งแต่แรกพอมาถึงรุ่นลูกอย่างคุณต๊อบ อัยยวัฒน์ เข้ามาสานต่อธุรกิจ ก็เลยต่อยอดเรื่องการให้สังคมเช่นเดียวกัน แถมการส่งต่อเพื่อสังคมยังไปไกลถึงประเทศที่ไปทำธุรกิจด้วย อย่างเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาคณะผู้บริหารสภาเทศบาลเมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้มอบรางวัล "เดอะ ซิตี้ ออฟ เลสเตอร์ อวอร์ด" หรือ รางวัลบุคคลผู้ทรงคุณค่าให้กับเจ้าสัววิชัย และคุณต๊อบ อัยยวัฒน์ โดยถือว่าเป็นคนไทย 2 คนแรกที่ได้รับรางวัลทรงเกียรติแบบนี้เลยนะ จากที่คิงเพาเวอร์เข้าไปสร้างประโยชน์มากมายให้กับเมืองเลสเตอร์  ช่วยผลักดันให้สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และยังช่วยสร้างความเจริญของชุมชนท้องถิ่นของเค้าอีกหลายอย่าง เอาจริงๆ รางวัลแบบนี้คนไทยไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ นะเพราะต่างชาติเขามีเกณฑ์และกติกาการคัดเลือกที่เข้มงวด โปร่งใส ได้ใจคนท้องถิ่น(แถมยังเป็นฝรั่ง) จะมอบรางวัลให้ใครคนนั้นจะต้องได้รับการยอมรับมานานพอที่ชุมชนจะมองเห็นอีกด้วย

            ที่เขียนเล่ามายาวๆ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กน้อยที่เรารู้สึกว่ามันเป็นมุมบวกที่สามารถส่งต่อกันได้ในยุคสมัยที่ในโซเชียลมีแต่ข่าวดราม่าเยอะมาก แล้วก็หวังว่าจะมีทั้งบุคคลธรรมดาที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น หรือองค์กรชั้นนำหลายๆที่ออกมาช่วยเหลือสังคมกันเยอะขึ้นยิ่งเยอะยิ่งดี ยิ่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มธุรกิจก็ยิ่งดีไปใหญ่ เพราะจะทำให้มีพลังในการช่วยเหลือคนในสังคมได้มากขึ้น หากทุกองค์กรที่มีศักยภาพและความสามารถออกมาทำกิจกรรมดี ๆ แบบนี้กันมากขึ้น เราเชื่อว่าจะเป็นพลังคนไทยที่สำคัญในการสร้างสังคมให้น่าอยู่และมีคุณภาพมากขึ้นด้วย ฝากแชร์เรื่องราวดี ๆ ให้ทุกคนได้รับรู้ด้วยกันเยอะๆ นะ ^^

#csr
#การให้ที่ยั่งยืน
#covid 19
แก้ไขล่าสุด 10 ต.ค. 65 19:26 | เลขไอพี : ไม่แสดง | ตั้งกระทู้โดย Windows 10

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | _uwu_ | 4 พ.ย. 65 16:48 น.

ไอพี: ไม่แสดง | โดย Windows 10

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google