ตัวเลขนักท่องเที่ยวกับยอดค่าใช้จ่ายต่อหัวของธุรกิจท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน
26 ธ.ค. 65 02:01 น. /
ดู 11,973 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#cheap
นักท่องเที่ยวคุณภาพ สิ่งที่ธุรกิจท่องเที่ยวไทยต้องการ
มีการประเมินจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของธนาคารกสิกรไทย ว่าปี 2565 นั้น นักท่องเที่ยวไทยน่าจะมีประมาณ 11.0 ล้านคน ถ้าเทียบกับปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวมีเพียงแค่ 28% เท่านั้นเอง จากตัวเลขดังกล่าวแน่นอนว่าส่งผลเสียให้กับธุรกิจท่องเที่ยวไทย แต่เชื่อมั้ยว่ามีอีกปัจจัยสำคัญที่ตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยต้องเผชิญ นั้นก็คือ ค่าใช้จ่ายต่อหัวที่ลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปส่งผลต่อเงินที่ใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศไทย เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จากตัวเลขที่เปิดเผยล่าสุดโดย การท่องการท่องเที่ยวและกีฬา กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก หรือประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่แหละที่มาอันดับ 1
จากตัวเลขดังกว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยมากที่สุดคือประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มนี้มักจะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นเวลาสั้น 3-7 วัน และยิ่งไปกว่านั้นคือ กลุ่มเหล่านี้ก็มักจะเป็นนักท่องเที่ยวแบบ Backpacker ซะส่วนมาก นั้นเลยไม่ใช่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่กระเป๋าหนักแบบที่ประเทศไทยต้องการในขณะนี้ เพราะค่ำไหนนอนนั่น นี่คือคอนเซ็ปของนักท่องเที่ยวขาลุย ผิดกับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เราต้องการนั้นก็คือ กลุ่มยุโรปที่พวกเค้าจะสามารถลางานยาวได้เป็นเดือน และมีเงินมาใช้จ่ายในประเทศของเราได้มากกว่ากลุ่มเพื่อนบ้านอย่างมาก ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ยังดีไม่พอสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในปัจจุบัน
จากการประเมินที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องย้อนกลับมาถามกันอีกทีว่า "ตัวเลขที่มากขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายต่อหัวลดลง" นั้นดีหรือไม่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2566 การใช้จ่ายของชาวต่างชาติเที่ยวไทย จะสร้างรายได้สู่ธุรกิจท่องเที่ยว จะมีมูลค่าประมาณ 0.84-1.01 ล้านล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 42,000 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นจากประมาณ 40,000 บาทต่อคนต่อทริป ในปี 65 แต่ยังต่ำกว่าเฉลี่ย 47,895 บาทต่อคนต่อทริป ในปี 2562 อีกด้วย
https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/business/Pages/Tourist-2023-z3370.aspx
เทรนด์และความต้องการของนักท่องเที่ยว
ยิ่งถูกยิ่งดี คอนเทนต์ที่ชาวต่างชาติเลือกทำในประเทศไทย
ตอนนี้กระแสโซเชียลไม่ว่าจะเป็น ติ๊กต๊อก ยูทูป หรือ เฟสบุค ส่วนมากจะมีการรีวิวการท่องเที่ยว Lifestyle กิน เที่ยว ช๊อป ของเหล่าติ๊กต๊อกเกอร์ ยูทูปเบอร์ ผู้นำเสนอเรื่องราวผ่านช่องทางของพวกเค้า และที่เห็นมากที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นก็เรื่อง "กิน" โดยยูทูปเบอร์จากทั่วโลกที่ทำการรีวิวประเทศไทย และสนใจมาประเทศไทย ที่เห็นหนักๆ ก็จะมาเพื่อการรีวิวการใช้จ่ายที่น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็น "1 $ Thaifood" จนไปถึงการมี #cheap food in Thailand เป็นการสะท้อนพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีว่านักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อกันหรือไม่ว่าคอนเทนต์เหล่าได้รับความนิยมสูงกันมากๆ มียอดวิวสูงๆกันทั้งนั้น โดยมีตั้งแต่หลัก 10,000 วิว ไปจนถึง 10 ล้านวิวขึ้นไป สะท้อนถึงความนิยมในรูปแบบนี้กันมากขึ้นเพราะยอดวิวที่สูงเท่ากับว่ามีคนสนใจคอนเท้นต์นี้เป็นอย่างมาก
แล้วนักท่องเที่ยวประเภทไหนที่ไทยต้องการ ?
การที่มีชาวต่างชาติทำรีวิว การกินราคาแสนถูก การนอนโรงแรมราคาถูกมากๆ นั้น ในมุมหนึ่งก็ต้องขอขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นที่ช่วยโปรโมทประเทศไทย
แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง การทำคอนเทนต์ประเภทนี้อาจจะดึงนักท่องเที่ยวที่จ้องมาเที่ยวประเทศไทย แล้วเกิดการใช้เงินในการท่องเที่ยวที่น้อยมากๆ เรียกได้ว่าเฉลี่ยต่อหัวแสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติกลุ่มนี้ จะรีวิวที่คุ้มค่าที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุด โดยสัดส่วนที่ชาวยูทูปเบอร์นั้นทำคอนเทนต์กินหรูอยู่สบายในไทยนั้นก็มีสัดส่วนและได้รับความนิยมน้อยกว่าแบบ "ยิ่งถูกยิ่งดี" อยู่มาก
ทำให้ในที่สุดนักท่องเที่ยวเหล่านี้อาจจะใช้เงินเพียงแค่ 30,000 บาทต่อทริปเท่านั้น จากเดิมที่ "มีการคาดการณ์เฉลี่ยต่อคนต่อทริป อยู่ที่ประมาณ 40,000-42,000 บาท" ด้วยซ้ำไป
ในปัจจุบันรัฐบาลไทยนั้นได้มีการ ปั้นโครงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพขึ้นมา แต่ก็เหมือนจะดันไม่ขึ้น ททท. เร่งพัฒนาคอนเทนต์ ผลิตสื่อดิจิทัล-โปรโมตการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังโควิดคลี่คลาย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นั้นได้วางแผนเชิงรุกเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เร่งพัฒนาสร้างสรรค์สินค้าและบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ไปยังต่างประเทศ แต่ก็กลับไม่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเพราะอาจมีราคาที่สูงกว่าแบบท่องเที่ยวในราคาถูก อยู่มาก ก็มันแน่นอนอยู่แล้วของใช้ในกลุ่มสุขภาพก็ต้องจ่ายราคาแพงกว่าปกติ แบบนี้ก็แปลได้ว่า "คนต่างชาติเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น แต่ใช้จ่ายต่อทริปลดลง" มันก็เหมือนวนอยู่ในอ่างใบยักษ์ที่เราหวังว่าหลังเปิดประเทศแล้ว จะมีชาวต่างชาติเข้ามามากและมีการใช้จ่ายต่อหัวที่มากเหมือนเมื่อก่อน
อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลจีนอนุญาตให้ชาวจีนออกเที่ยวนอกประเทศได้ ประเทศไทยจะมีโอกาสได้นักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นอีกหลายล้านคน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็อาจจะมากขึ้นเพราะชาวจีนชอบการซื้อของฝากกลับประเทศเป็นอย่างมาก
โจทย์ใหม่ที่ไทยจะต้องแก้ ตอนนี้กลับมีเพิ่มมาอีกหนึ่งเรื่องหลังจากที่ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้ว นั่นก็คือ
เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยว โจทย์ใหม่ "ท่องเที่ยวไทย" เพราะ นักท่องเที่ยวเที่เข้าควรเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ กระเป๋าหนัก นั่นน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ดีสำหรับประเทศไทยที่ปิดประเทศมาเกือบ3 ปี เพื่อเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น น่าจะดีไม่น้อยเพราะ หากตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายต่อหัวนั้นลดลง ก็อาจจะต้องเหนื่อยต่อไปกันอีกหลายปีกันเลยหละงานนี้
ที่มาhttps://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220901151921168
https://thaipublica.org/2019/11/krungthai-compass02/
มีการประเมินจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของธนาคารกสิกรไทย ว่าปี 2565 นั้น นักท่องเที่ยวไทยน่าจะมีประมาณ 11.0 ล้านคน ถ้าเทียบกับปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวมีเพียงแค่ 28% เท่านั้นเอง จากตัวเลขดังกล่าวแน่นอนว่าส่งผลเสียให้กับธุรกิจท่องเที่ยวไทย แต่เชื่อมั้ยว่ามีอีกปัจจัยสำคัญที่ตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยต้องเผชิญ นั้นก็คือ ค่าใช้จ่ายต่อหัวที่ลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปส่งผลต่อเงินที่ใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศไทย เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จากตัวเลขที่เปิดเผยล่าสุดโดย การท่องการท่องเที่ยวและกีฬา กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก หรือประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่แหละที่มาอันดับ 1
จากการประเมินที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องย้อนกลับมาถามกันอีกทีว่า "ตัวเลขที่มากขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายต่อหัวลดลง" นั้นดีหรือไม่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2566 การใช้จ่ายของชาวต่างชาติเที่ยวไทย จะสร้างรายได้สู่ธุรกิจท่องเที่ยว จะมีมูลค่าประมาณ 0.84-1.01 ล้านล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 42,000 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นจากประมาณ 40,000 บาทต่อคนต่อทริป ในปี 65 แต่ยังต่ำกว่าเฉลี่ย 47,895 บาทต่อคนต่อทริป ในปี 2562 อีกด้วย
https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/business/Pages/Tourist-2023-z3370.aspx
เทรนด์และความต้องการของนักท่องเที่ยว
ยิ่งถูกยิ่งดี คอนเทนต์ที่ชาวต่างชาติเลือกทำในประเทศไทย
ตอนนี้กระแสโซเชียลไม่ว่าจะเป็น ติ๊กต๊อก ยูทูป หรือ เฟสบุค ส่วนมากจะมีการรีวิวการท่องเที่ยว Lifestyle กิน เที่ยว ช๊อป ของเหล่าติ๊กต๊อกเกอร์ ยูทูปเบอร์ ผู้นำเสนอเรื่องราวผ่านช่องทางของพวกเค้า และที่เห็นมากที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นก็เรื่อง "กิน" โดยยูทูปเบอร์จากทั่วโลกที่ทำการรีวิวประเทศไทย และสนใจมาประเทศไทย ที่เห็นหนักๆ ก็จะมาเพื่อการรีวิวการใช้จ่ายที่น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็น "1 $ Thaifood" จนไปถึงการมี #cheap food in Thailand เป็นการสะท้อนพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีว่านักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อกันหรือไม่ว่าคอนเทนต์เหล่าได้รับความนิยมสูงกันมากๆ มียอดวิวสูงๆกันทั้งนั้น โดยมีตั้งแต่หลัก 10,000 วิว ไปจนถึง 10 ล้านวิวขึ้นไป สะท้อนถึงความนิยมในรูปแบบนี้กันมากขึ้นเพราะยอดวิวที่สูงเท่ากับว่ามีคนสนใจคอนเท้นต์นี้เป็นอย่างมาก
แล้วนักท่องเที่ยวประเภทไหนที่ไทยต้องการ ?
การที่มีชาวต่างชาติทำรีวิว การกินราคาแสนถูก การนอนโรงแรมราคาถูกมากๆ นั้น ในมุมหนึ่งก็ต้องขอขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นที่ช่วยโปรโมทประเทศไทย
แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง การทำคอนเทนต์ประเภทนี้อาจจะดึงนักท่องเที่ยวที่จ้องมาเที่ยวประเทศไทย แล้วเกิดการใช้เงินในการท่องเที่ยวที่น้อยมากๆ เรียกได้ว่าเฉลี่ยต่อหัวแสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติกลุ่มนี้ จะรีวิวที่คุ้มค่าที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุด โดยสัดส่วนที่ชาวยูทูปเบอร์นั้นทำคอนเทนต์กินหรูอยู่สบายในไทยนั้นก็มีสัดส่วนและได้รับความนิยมน้อยกว่าแบบ "ยิ่งถูกยิ่งดี" อยู่มาก
ทำให้ในที่สุดนักท่องเที่ยวเหล่านี้อาจจะใช้เงินเพียงแค่ 30,000 บาทต่อทริปเท่านั้น จากเดิมที่ "มีการคาดการณ์เฉลี่ยต่อคนต่อทริป อยู่ที่ประมาณ 40,000-42,000 บาท" ด้วยซ้ำไป
ในปัจจุบันรัฐบาลไทยนั้นได้มีการ ปั้นโครงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพขึ้นมา แต่ก็เหมือนจะดันไม่ขึ้น ททท. เร่งพัฒนาคอนเทนต์ ผลิตสื่อดิจิทัล-โปรโมตการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังโควิดคลี่คลาย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นั้นได้วางแผนเชิงรุกเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เร่งพัฒนาสร้างสรรค์สินค้าและบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ไปยังต่างประเทศ แต่ก็กลับไม่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเพราะอาจมีราคาที่สูงกว่าแบบท่องเที่ยวในราคาถูก อยู่มาก ก็มันแน่นอนอยู่แล้วของใช้ในกลุ่มสุขภาพก็ต้องจ่ายราคาแพงกว่าปกติ แบบนี้ก็แปลได้ว่า "คนต่างชาติเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น แต่ใช้จ่ายต่อทริปลดลง" มันก็เหมือนวนอยู่ในอ่างใบยักษ์ที่เราหวังว่าหลังเปิดประเทศแล้ว จะมีชาวต่างชาติเข้ามามากและมีการใช้จ่ายต่อหัวที่มากเหมือนเมื่อก่อน
อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลจีนอนุญาตให้ชาวจีนออกเที่ยวนอกประเทศได้ ประเทศไทยจะมีโอกาสได้นักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นอีกหลายล้านคน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็อาจจะมากขึ้นเพราะชาวจีนชอบการซื้อของฝากกลับประเทศเป็นอย่างมาก
โจทย์ใหม่ที่ไทยจะต้องแก้ ตอนนี้กลับมีเพิ่มมาอีกหนึ่งเรื่องหลังจากที่ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้ว นั่นก็คือ
เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยว โจทย์ใหม่ "ท่องเที่ยวไทย" เพราะ นักท่องเที่ยวเที่เข้าควรเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ กระเป๋าหนัก นั่นน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ดีสำหรับประเทศไทยที่ปิดประเทศมาเกือบ3 ปี เพื่อเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น น่าจะดีไม่น้อยเพราะ หากตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายต่อหัวนั้นลดลง ก็อาจจะต้องเหนื่อยต่อไปกันอีกหลายปีกันเลยหละงานนี้
ที่มาhttps://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220901151921168
https://thaipublica.org/2019/11/krungthai-compass02/
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย MacOS
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google