โค้งตาบาง ป่าชุมชนที่ควรไปสัมผัส
26 ม.ค. 66 15:45 น. /
ดู 13,581 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
ป่ากับชุมชนแม้กฎหมายจะอายุกว่า 28 ปี แต่วิถีคนกับป่ามีมาเป็นหลายร้อยหลายพันปี เมื่อเกิดสังคมเมือง คนก็เริ่มใช้ทรัพยากรจากป่าไม้เพื่อสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งการยังชีพ ไปจนถึงสร้างความสะดวกสบาย เมื่อคนเพิ่มขึ้นป่าไม้และสัตว์ป่าก็ลดลงตามความต้องการทรัพยากรอย่างไม่รู้จบจนทรัพยากรและระบบนิเวศสื่อมถอยลง
มนุษย์เราหวนคืนไปสู่ชีวิตแบบพันปีไม่ได้ แต่ภัยพิบัติต่างๆอาจทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ได้ แต่มีทางออก คือการที่มนุษย์ต้องรู้จักการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคงรักษาสภาพของทรัพยากรนั้นไว้ คือ "ป่าชุมชน"
แนวคิดป่าชุมชน บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯผู้ล่วงลับ ที่เริ่มผลักดันกฎหมายป่าชุมชน ตั้งแต่ปี 2538 นับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันนี้ ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยจัดตั้งป่าชุมชนไปแล้วกว่า 11,327 แห่ง ภายใต้การดูแลอนุรักษ์กว่า 13,028 หมู่บ้าน เนื้อที่รวม 6.29 ล้านไร่ และเตรียมสานต่อให้ถึงเป้าหมาย 15,000 แห่ง รวม 10 ล้านไร่
ซึ่งแนวคิดหลักของป่าชุมชนคือการให้คนใช้ป่าในการเป็นเครื่องมือทำมาหากินควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และหวงแหนทรัพยากรไม่ให้หมดไปโดยตัวอย่างที่เห็ได้ชัดอย่างโครงการ "ป่าโค้งตาบาง" ในจังหวัดเพชรบุรี
โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เปิดกิจกรรม "Kick off ป่าชุมชนแห่งแรก สู่ตลาดคาร์บอนเครดิต" บริเวณป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี ถือเป็นป่าชุมชนแห่งแรกที่มีการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยผลจากการที่ชุมชนเข้ามามีบทบาทปกป้องรักษาป่าชุมชน อนุรักษ์ควบคุมดูแล ปลูกฟื้นฟูป่าชุมชนมาตลอด 7 ปี ทำให้ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า ความเสื่อมโทรมของป่า และเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน ที่มีคาร์บอนเครดิตได้รับการรับรอง 5,259 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จึงเป็นป่าชุมชนแห่งแรกของประเทศไทยที่พร้อมเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งประเทศไทยมีป่าชุมชนที่มีศักยภาพขึ้นทะเบียน T-VER อีก 16 ชุมชน ส่วนในปี 2564 - 2565
อยู่ระหว่างพิจารณาขึ้นทะเบียน T-VER ให้กับป่าชุมชนอื่นๆ ปัจจุบันไทยมีป่าชุมชนแล้ว 12,117 แห่งทั่วประเทศ สามารถรักษาพื้นที่ป่าไม้ได้ 6.64 ล้านไร่ หากดำเนินการทุกพื้นที่รวมกันจะกักเก็บก๊าซคาร์บอนไว้ได้ 42 ล้านตันคาร์บอน คาดว่า จะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6.27 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
และที่น่าสนใจคือ มีการขายคาร์บอนเครดิตร และมีรายได้กลับไปสู่ชุมชนปีละไม่ต่ำกว่า 7 - 8 ล้านบาทต่อปีนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก โครงการนี้จะประสบความสำเร็จไม่ได้หากคนในพื้นที่ และที่ปรึกษาอย่าง ดร.ยุทธพล อังกินันท์ ที่เป็นที่ปรึกษาและเป็นคนในพื้นที่ที่ได้ให้การดูแลอย่างใกล้ชิดอีกด้วย แม้จะเป็นเพียงพื้นที่หนึ่งแต่คิดว่า ในอนาคตเราจะมีพื้นที่ชุมชนเพิ่มขึ้นตามเป้าที่ได้วางเอาไว้อีกทั้งการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ยั่งยืนต่อไป
แนวคิดป่าชุมชน บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯผู้ล่วงลับ ที่เริ่มผลักดันกฎหมายป่าชุมชน ตั้งแต่ปี 2538 นับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันนี้ ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยจัดตั้งป่าชุมชนไปแล้วกว่า 11,327 แห่ง ภายใต้การดูแลอนุรักษ์กว่า 13,028 หมู่บ้าน เนื้อที่รวม 6.29 ล้านไร่ และเตรียมสานต่อให้ถึงเป้าหมาย 15,000 แห่ง รวม 10 ล้านไร่
ซึ่งแนวคิดหลักของป่าชุมชนคือการให้คนใช้ป่าในการเป็นเครื่องมือทำมาหากินควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และหวงแหนทรัพยากรไม่ให้หมดไปโดยตัวอย่างที่เห็ได้ชัดอย่างโครงการ "ป่าโค้งตาบาง" ในจังหวัดเพชรบุรี
โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เปิดกิจกรรม "Kick off ป่าชุมชนแห่งแรก สู่ตลาดคาร์บอนเครดิต" บริเวณป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี ถือเป็นป่าชุมชนแห่งแรกที่มีการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยผลจากการที่ชุมชนเข้ามามีบทบาทปกป้องรักษาป่าชุมชน อนุรักษ์ควบคุมดูแล ปลูกฟื้นฟูป่าชุมชนมาตลอด 7 ปี ทำให้ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า ความเสื่อมโทรมของป่า และเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน ที่มีคาร์บอนเครดิตได้รับการรับรอง 5,259 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จึงเป็นป่าชุมชนแห่งแรกของประเทศไทยที่พร้อมเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งประเทศไทยมีป่าชุมชนที่มีศักยภาพขึ้นทะเบียน T-VER อีก 16 ชุมชน ส่วนในปี 2564 - 2565
อยู่ระหว่างพิจารณาขึ้นทะเบียน T-VER ให้กับป่าชุมชนอื่นๆ ปัจจุบันไทยมีป่าชุมชนแล้ว 12,117 แห่งทั่วประเทศ สามารถรักษาพื้นที่ป่าไม้ได้ 6.64 ล้านไร่ หากดำเนินการทุกพื้นที่รวมกันจะกักเก็บก๊าซคาร์บอนไว้ได้ 42 ล้านตันคาร์บอน คาดว่า จะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6.27 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
และที่น่าสนใจคือ มีการขายคาร์บอนเครดิตร และมีรายได้กลับไปสู่ชุมชนปีละไม่ต่ำกว่า 7 - 8 ล้านบาทต่อปีนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก โครงการนี้จะประสบความสำเร็จไม่ได้หากคนในพื้นที่ และที่ปรึกษาอย่าง ดร.ยุทธพล อังกินันท์ ที่เป็นที่ปรึกษาและเป็นคนในพื้นที่ที่ได้ให้การดูแลอย่างใกล้ชิดอีกด้วย แม้จะเป็นเพียงพื้นที่หนึ่งแต่คิดว่า ในอนาคตเราจะมีพื้นที่ชุมชนเพิ่มขึ้นตามเป้าที่ได้วางเอาไว้อีกทั้งการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ยั่งยืนต่อไป
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย MacOS
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google