"เบี้ยผู้สูงอายุ" ยังไม่พอ ความท้าทายพรรคการเมืองกับสังคมผู้สูงวัย
17 เม.ย. 66 17:36 น. /
ดู 1,505 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#เบี้ยผู้สูงอายุ #ฝากให้คิด
"เบี้ยผู้สูงอายุ" ยังไม่พอ นักวิชาการเปิดปัญหาสังคมผู้สูงวัย รัฐจัดบำนาญผู้สูงอายุยังไม่พอ ต้องสร้างหลักประกันยามชรา ที่ก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่างรุ่น ความท้าทายของนโยบายพรรคการเมือง
13 เมษายน ถูกกำหนดให้เป็น "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ" เพื่อรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ โดยได้ถูกกำหนดขึ้น ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปี พ.ศ. 2525 แต่ในปัจจุบัน ที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีประชากรวัยทำงานน้อยลง ทำให้ประเด็นของผู้สูงอายุไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป พรรคการเมืองต่างๆพากันออกนโยบายหาเสียง เอาใจฐานเสียงกลุ่มนี้ แต่จะเป็นการออกแบบนโยบายเพื่อรองรับ และแก้ปัญหาของสังคมผู้สูงอายุจริงหรือไม่
ศาสตราจารย์ ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วิเคราะห์สภาพปัญหาสังคมผู้สูงอายุ และจุดประกายความคิดไว้อย่างน่าสนใจ ไว้ในบทความ "16 ความคิดเพื่อชีวิตคนไทย: สิ่งที่เป็น ปัญหาที่เห็น และประเด็นชวนคิด" โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
ศ.ดร.วรเวศม์ กล่าวถึงสภาวะสังคมไทยว่า กำลังจะก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์" โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2583 จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็นประมาณ 20.51 ล้านคน หรือเกือบ1ใน3 ของประชากรทั้งหมด เนื่องจากคนไทยมีอายุยืนขึ้น โดยปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 77 ปี และ จำนวนเด็กเกิดใหม่ มีแนวโน้มลดลง จากมากกว่าปีละ 1 ล้านคนในช่วงปี พ.ศ. 25062526 เหลือปีละประมาณ 5 แสนกว่าคน
สถิติผู้สูงอายุไทย ปี 2565 โดยกลุ่มนโยบายและยุทธศาสตร์ กรมกิจการผู้สูงอายุ
ผลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2564 พบว่า 32.2% ของผู้สูงอายุในปัจจุบันมีแหล่งรายได้หลักจากบุตร 32.4% จากการทำงาน 19.2% จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 7.5% จากบำเหน็จบำนาญ 4.5% จากคู่สมรส 2.7% จากแหล่งอื่น ๆ และมีเพียงแค่ 1.5% เท่านั้นมีแหล่งรายได้หลักจากดอกเบี้ย หรือเงินออม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลักประกันด้านรายได้ยามชราภาพจึงมีความสำคัญ
ผู้สูงอายุในอนาคตจะมีการครองโสดถาวรเพิ่มขึ้น มีจำนวนบุตรที่มีชีวิตโดยเฉลี่ยลดลง มีสัดส่วนผู้ที่ไม่มีบุตรเพิ่มขึ้น ทำให้แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุในอนาคตจะมีความเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน ไม่มีแหล่งรายได้จากบุตร และคู่สมรส
ศ.ดร.วรเวศม์ สะท้อนถึงปัญหาของระบบบำนาญที่มีในปัจจุบันของประเทศว่า ขาดการบูรณาการภาพรวม และไม่สามารถตอบได้ว่า ระบบบำนาญที่มีอยู่ ได้สร้างหลักประกันที่มั่นคง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ให้กับผู้สูงอายุไทยได้จริงหรือไม่ ทั้งยังมีลักษณะคล้าย "ปิ่นโต" ประชาชนคนหนึ่งมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากหลายระบบพร้อมกัน เช่น
ข้าราชการบำนาญ อาจจะได้รับบำเหน็จบำนาญกับเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ลูกจ้างบริษัทเอกชน ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และสิทธิประโยชน์ชราภาพจากกองทุนประกันสังคม ลูกจ้างบางคน อาจได้รับเงินเพิ่มเติมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากนายจ้างได้จัดตั้งขึ้น
ประชากรกลุ่มแรงงานนอกระบบ ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และหากสมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ หรือกองทุนประกันสังคมภาคสมัครใจ ก็จะมีหลักประกันเพิ่มเติม
ผู้สูงอายุบางคนอาจได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุรายได้น้อย
ศ.ดร.วรเวศม์ ชี้ให้เห็นว่า การวางรากฐานเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ต้องไม่ใช่เพียงการให้ความสำคัญกับบำนาญผู้สูงอายุที่จัดสรรให้โดยรัฐเท่านั้น แต่ยังมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงาน ที่จะเป็นสูงอายุในอีก 45 ปีข้างหน้า ช่วงเวลานี้จึงเหมาะสมในการสร้างหลักประกันให้กับชีวิต สำหรับการเป็นผู้สูงอายุในอนาคต
ผู้สูงอายุในปัจจุบัน กับผู้สูงอายุในอนาคต จึงเป็นปัจจัยที่สามารถนำมาใช้เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยการประนีประนอมเชิงนโยบาย ระหว่างการสร้างหลักประกันยามชราภาพเพื่อผู้สูงอายุในปัจจุบันที่เน้นวิธีการแบบรัฐจัดสรร กับการผลักดันให้เกิดระบบบำนาญฯ แบบมีส่วนร่วมเพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้กับผู้สูงอายุในอนาคต
เพราะหากระบบบำนาญ และการออมเพื่อเป็นหลักประกันยามชราภาพ สามารถทำหน้าที่เสมือนเป็นคู่สมรสหรือบุตรที่ดีได้ ก็จะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และนี่คือความท้าทายของพรรคการเมืองในการออกนโยบาย สำหรับการเลือกตั้ง 2566 นี้
#เบี้ยผู้สูงอายุ
#ฝากให้คิด
ที่มา https://www.thansettakij.com/thailand-elections/election-analysis/562005
13 เมษายน ถูกกำหนดให้เป็น "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ" เพื่อรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ โดยได้ถูกกำหนดขึ้น ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปี พ.ศ. 2525 แต่ในปัจจุบัน ที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีประชากรวัยทำงานน้อยลง ทำให้ประเด็นของผู้สูงอายุไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป พรรคการเมืองต่างๆพากันออกนโยบายหาเสียง เอาใจฐานเสียงกลุ่มนี้ แต่จะเป็นการออกแบบนโยบายเพื่อรองรับ และแก้ปัญหาของสังคมผู้สูงอายุจริงหรือไม่
ศ.ดร.วรเวศม์ กล่าวถึงสภาวะสังคมไทยว่า กำลังจะก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์" โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2583 จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็นประมาณ 20.51 ล้านคน หรือเกือบ1ใน3 ของประชากรทั้งหมด เนื่องจากคนไทยมีอายุยืนขึ้น โดยปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 77 ปี และ จำนวนเด็กเกิดใหม่ มีแนวโน้มลดลง จากมากกว่าปีละ 1 ล้านคนในช่วงปี พ.ศ. 25062526 เหลือปีละประมาณ 5 แสนกว่าคน
สถิติผู้สูงอายุไทย ปี 2565 โดยกลุ่มนโยบายและยุทธศาสตร์ กรมกิจการผู้สูงอายุ
ผลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2564 พบว่า 32.2% ของผู้สูงอายุในปัจจุบันมีแหล่งรายได้หลักจากบุตร 32.4% จากการทำงาน 19.2% จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 7.5% จากบำเหน็จบำนาญ 4.5% จากคู่สมรส 2.7% จากแหล่งอื่น ๆ และมีเพียงแค่ 1.5% เท่านั้นมีแหล่งรายได้หลักจากดอกเบี้ย หรือเงินออม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลักประกันด้านรายได้ยามชราภาพจึงมีความสำคัญ
ผู้สูงอายุในอนาคตจะมีการครองโสดถาวรเพิ่มขึ้น มีจำนวนบุตรที่มีชีวิตโดยเฉลี่ยลดลง มีสัดส่วนผู้ที่ไม่มีบุตรเพิ่มขึ้น ทำให้แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุในอนาคตจะมีความเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน ไม่มีแหล่งรายได้จากบุตร และคู่สมรส
ศ.ดร.วรเวศม์ สะท้อนถึงปัญหาของระบบบำนาญที่มีในปัจจุบันของประเทศว่า ขาดการบูรณาการภาพรวม และไม่สามารถตอบได้ว่า ระบบบำนาญที่มีอยู่ ได้สร้างหลักประกันที่มั่นคง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ให้กับผู้สูงอายุไทยได้จริงหรือไม่ ทั้งยังมีลักษณะคล้าย "ปิ่นโต" ประชาชนคนหนึ่งมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากหลายระบบพร้อมกัน เช่น
ข้าราชการบำนาญ อาจจะได้รับบำเหน็จบำนาญกับเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ลูกจ้างบริษัทเอกชน ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และสิทธิประโยชน์ชราภาพจากกองทุนประกันสังคม ลูกจ้างบางคน อาจได้รับเงินเพิ่มเติมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากนายจ้างได้จัดตั้งขึ้น
ประชากรกลุ่มแรงงานนอกระบบ ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และหากสมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ หรือกองทุนประกันสังคมภาคสมัครใจ ก็จะมีหลักประกันเพิ่มเติม
ผู้สูงอายุบางคนอาจได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุรายได้น้อย
ศ.ดร.วรเวศม์ ชี้ให้เห็นว่า การวางรากฐานเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ต้องไม่ใช่เพียงการให้ความสำคัญกับบำนาญผู้สูงอายุที่จัดสรรให้โดยรัฐเท่านั้น แต่ยังมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงาน ที่จะเป็นสูงอายุในอีก 45 ปีข้างหน้า ช่วงเวลานี้จึงเหมาะสมในการสร้างหลักประกันให้กับชีวิต สำหรับการเป็นผู้สูงอายุในอนาคต
ผู้สูงอายุในปัจจุบัน กับผู้สูงอายุในอนาคต จึงเป็นปัจจัยที่สามารถนำมาใช้เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยการประนีประนอมเชิงนโยบาย ระหว่างการสร้างหลักประกันยามชราภาพเพื่อผู้สูงอายุในปัจจุบันที่เน้นวิธีการแบบรัฐจัดสรร กับการผลักดันให้เกิดระบบบำนาญฯ แบบมีส่วนร่วมเพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้กับผู้สูงอายุในอนาคต
เพราะหากระบบบำนาญ และการออมเพื่อเป็นหลักประกันยามชราภาพ สามารถทำหน้าที่เสมือนเป็นคู่สมรสหรือบุตรที่ดีได้ ก็จะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และนี่คือความท้าทายของพรรคการเมืองในการออกนโยบาย สำหรับการเลือกตั้ง 2566 นี้
#เบี้ยผู้สูงอายุ
#ฝากให้คิด
ที่มา https://www.thansettakij.com/thailand-elections/election-analysis/562005
แก้ไขล่าสุด 17 เม.ย. 66 17:37 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google