ทุนจีนสีเทาปัญหาที่น่าปวดหัวของรัฐบาลไทย
16 มิ.ย. 66 13:46 น. /
ดู 1,747 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
ทุนจีนสีเทาปัญหาที่น่าปวดหัวของรัฐบาลไทย
เรื่องทุนจีนบุกไทยนั้นเป็นที่รับรู้กันมานานหลายปีแล้ว ซึ่งคลื่นกลุ่มทุนจีนรุ่นใหม่ที่หลั่งไหลทะลักเข้ามาตั้งหลักปักฐานในบ้านเรา เริ่มขึ้นราว ๆ ปี 2550 จุดที่คนจีนเหล่านั้นมาทำมาหากินสมัยนั้นหากเราเดินไปในย่านห้วยขวาง โดยเฉพาะเส้นประชาราษฎร์บำเพ็ญ เราจะพบเห็นชาวจีนจำนวนมาก ตั้งตัวอยู่กันเป็นชุมชน เปิดร้านขายของ ทั้งร้านอาหาร ร้านขายยา และข้าวของเครื่องใช้ คนเหล่านี้เข้ามาสร้างไชน่าทาวน์แห่งใหม่
ยังไม่นับคนจีนกลุ่มอื่น ๆ ในย่านลาดกระบังถือเป็น "ฮับคนจีน" ที่ต้องมาพักที่นี่ก่อนจะกระจายไปจุดอื่น ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ก็จะมีย่านศรีนครินทร์ สุขุมวิท และย่านเสือป่าพลาซ่า ที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นชุมชน แต่อาจแตกต่างด้วยลักษณะของคนแต่ละพื้นที่โดยการแบ่งชนชั้นระดับฐานะทางเศรษฐกิจ และอาชีพที่ทำก็จะต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม การรุกเข้ามาของทุนจีนเริ่มแผ่วลงการค้าซบเซาหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งรัฐบาลจีนและไทยมีนโยบายปิดประเทศ แต่วันนี้หลังจากรัฐบาลจีนประกาศยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (ZERO COVID-19) กำลังจะกลายเป็นปัญหาน่าปวดหัวของรัฐบาลไทย เมื่อคลื่นคนจีนที่เข้ามาทำมาหากินได้แฝงตัวมากับนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาอีกระลอกสมทบกับที่เคยอยู่เดิมที่ยังตั้งหลักปักฐานอยู่
กระทั่งผู้ประกอบการธุรกิจในย่านเยาวราช-สำเพ็ง ต้องออกมาโวยว่า คนจีนแผ่นดินใหญ่แห่มายึดธุรกิจของคนไทยในย่านไชน่าทาวน์ "ย่านเยาวราช" ที่เป็นย่านธุรกิจของ "คนจีนในเมืองไทย" ที่อยู่กันมากว่าร้อยปีรุ่นเสื่อผืนหมอนใบกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะย่านเสือป่า สำเพ็ง จนเจ้าถิ่นต้องถอยร่น หลายรายก็ยกธงขาวยอมแพ้เลิกกิจการ
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวฮือฮาอีกครั้ง เมื่อเพจร้าน "อาม่งหม่าล่าหม้อไฟสาขาเยาวราช" โพสต์ เล่าสถานการณ์ล่าสุด ที่เกิดขึ้นบนถนนเยาวราช ย่านสำเพ็ง มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
"ตอนนี้มีคนจีนถือวีซ่านักท่องเที่ยวมาเปิดร้านอาหาร ร้านนวด ร้านขายอุปกรณ์ เต็มไปหมด ย่านเยาวราช สำเพ็ง จากเดิมเคยเป็นร้านคนไทย (เชื้อสายจีน) ตอนนี้กลายเป็นร้านคนจีนแท้ ๆ (ส่วนใหญ่วีซ่า L) ถึงจะวีซ่า L ก็เปิดบัญชีธนาคารได้ง่าย ๆ ด้วย ธุรกิจร้านอาหารจีน ไม่ต้องมีสูตรอะไรมาก มี suppliers ส่งให้เรียบร้อย มีเงินเฉย ๆ ก็เปิดร้านได้ อุปกรณ์ตกแต่งจากจีนก็มีสำเร็จรูป ไม่ต้องการฝีมือช่างไทยทำ การมาลงทุนเปิดร้านต่าง ๆ ในไทยเลยง่ายมาก ๆ"
เพจดังกล่าว ยังเล่าอีกว่า "หากหาถึงปลายทางเงินได้จากธุรกิจ แน่นอนว่าหลงเหลือ (หมุนเวียน) ในประเทศน้อย การจดบริษัทในไทยของคนจีนก็ง่าย Visa L ก็จดได้ เพียงแค่ต้องมีคนไทยถือหุ้นเยอะกว่าคนจีน SME ไทยจะเจริญได้อย่างไร เพราะความเป็นพลเมืองต้องเสียภาษีเงินได้ภาษีธุรกิจให้ประเทศ แต่นักลงทุนต่างชาติ แค่หา "nominee" ในการทำสัญญาเช่าก็จบ ปลายทางเงินได้ส่วนใหญ่อยู่ประเทศของเขา"
ขณะที่สถานการณ์ย่านสำเพ็ง ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระบาด หลายกิจการปิดไปทำให้มีตึกและห้องเช่าว่างจำนวนมาก การค้าซบเซา คนไทยขาดสภาพคล่อง จึงเป็นโอกาสของพวกคนจีนที่ทุนหนา ก็เข้ามาทุ่มเงินเช่าร้าน เซ้งตึกได้ง่าย ๆ โดยเสนอค่าเช่ามากกว่า 2 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ ใช้ลูกจ้างเป็นคนไทย เช่าหรือเซ้งตึกแทนและรับหน้าที่ทำธุรกรรมต่าง ๆ เพื่อเปิดกิจการ ซึ่งพบว่ามีทั้งร้านอาหารร้าน ร้านขายของเบ็ดเตล็ดทั่วไปโดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีน
มีข้อน่าสังเกตว่า บางร้านขายสินค้าที่ราคาถูก ในราคา 10 ถึง 30 บาท แต่กลับมีเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถจ่ายค่าเช่าตึกได้ในราคา 300,000 ถึง 500,000 บาท ต่อเดือนได้อย่างสบาย ๆ บางร้านเปิดขายของแค่ครึ่งวันหรือไม่กี่ชั่วโมงก็ปิดร้าน สงสัยว่าธุรกิจเหล่านี้ มีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือไม่
สิ่งที่น่าห่วง คาดว่าอีกไม่นานแหล่งทำมาหากินในพื้นที่นี้ก็จะถูกยึดไปหมดไม่เหลือให้คนไทยไว้ทำมาหากิน เนื่องจากคนจีนเหล่านี้ รู้แหล่งผลิตสินค้าในประเทศจีนสามารถหาของราคาโรงงานได้ ภาษีก็ไม่ต้องเสีย ขณะที่คนไทยได้ราคาที่ผ่านคนกลางอีกที แถมยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหาซื้อที่จีนอีก ทั้งค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากินค่าอยู่ ต้นทุนย่อมสูงกว่า
แต่ก่อนย่านสำเพ็งจะเป็นย่านขายของถูก แต่ทุกวันนี้เมื่อเทียบกับสินค้าที่คนจีนนำเข้ามากลายเป็นว่ามีต้นทุนแพงกว่า คนไทยที่ค้าขายย่านสำเพ็งเสือป่า จึงหันมาซื้อสินค้าจากพ่อค้าจีนขายแทน แทนที่จะไปซื้อถึงเมืองจีนแต่ระยะหลัง ๆ เจอทีเด็ดคนจีนนำสินค้ามาขายตัดราคา จนพ่อค้าไทยอยู่ไม่ได้
ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ กลุ่มทุนจีนขาวเข้ามาเพื่อทำธุรกิจเข้ามาแย่งอาชีพค้าขายของคนไทยในที่สุดก็ฮุบกิจการคนไทยไปหมด
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งน่ากลัวกว่า อีกทั้งสร้างความเสียทั้งทางเศรษฐกิจและมีปัญหาสังคมตามมา กลุ่มนี้เป็นพวก "กลุ่มทุนจีนเทา" เข้ามาทำธุรกิจสีเทาธุรกิจมืด ที่กำลังตกเป็นข่าวโด่งดังอย่าง กรณี "ตู้ห่าว" ธุรกิจจีนสีเทาเกิดขึ้นมานานแล้ว แฝงมาในรูปแบบกลุ่ม "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ที่หากินและสร้างอิทธิพลในเมืองท่องเที่ยวต่อมาขยายธุรกิจการลงทุนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
กลุ่มนี้จะเริ่มจากธุรกิจทัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนต่อมาเป็นเจ้าของโรงแรม สถานบันเทิง ผับ บาร์ บ่อนพนัน ลามไปสู่ ยาเสพติดและฟอกเงิน กลุ่มนี้จะตั้งตัวเป็นมาเฟีย ไม่เกรงกลัวกฏหมายไทยเพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐหรือแม้กระทั่งนักการเมืองให้การช่วยเหลือ
นอกจากนี้กลุ่มจีนเทายังทำธุรกิจมืดอย่างการพนันออนไลน์ การกู้เงินผ่านแอปพลิเคชัน กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ฯลฯ แล้วฟอกเงินผ่านการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ บริษัททัวร์ มหาวิทยาลัย โรงแรม ไปจนถึงร้านอาหาร ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเฉพาะอย่างยิ่งเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ
มีนักวิชาการประเมินความสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจประเทศกว่า 300,000 ล้านบาท (เป็นความเสียหายทางอาชญากรรมเทคโนโลยีที่มีทั้งคนจีนและชาติอื่น ๆ) ข้อมูลของพรรคการเมืองฝ่ายค้านประเมินว่า เฉพาะคดีตู้ห่าวคดีเดียวสร้างความหายนะให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
กล่าวสำหรับเส้นทางที่กลุ่มทุนจีน ทั้งทุนขาวและทุนดำใช้ในการเดินทางเข้ามาทำมาหากินนั้น เริ่มตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ส่วนหนึ่งมาจากการอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทาเข้าประเทศ ขอสัญชาติไทยได้โดยง่าย อีกทั้งยังอนุมัติต่อวีซ่าให้กลุ่มคนจีนที่ใช้ใบรับรองของมูลนิธิ หรือโรงเรียนสอนภาษาจำนวนมาก
จากข้อมูลของตำรวจ เฉพาะปี 2564 เพียงปีเดียว มีผู้แฝงตัวเข้ามาในลักษณะนี้มากกว่า 3,000 คน ยังไม่นับกรณีที่มีการใช้นอมินีชาวไทยบังหน้าทำมาหากินกันอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของธุรกิจสีเทา รวมถึงการแย่งชิงกิจการของทุนจีนขาวจากผู้ประกอบการรายย่อยในไทย จะไม่ลุกลามมาถึงขั้นนี้ หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และคนไทยไม่ให้ความร่วมมือ โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ทำการทุจริตเสียเอง
การที่กลุ่มทุนจีนเข้ามาสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในบ้านเรา ได้เป็นการตอกย้ำว่ามีเครือข่ายข้าราชการที่ทุจริตเห็นแก่อามิสสินจ้างอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
ที่มา https://www.thestorythailand.com/23/01/2023/88422/
#ทุนจีนสีเทา
#ปัญหาที่น่าปวดหัว
#ปัญหารัฐบาลไทย
#ทุนจีนบุกไทย
เรื่องทุนจีนบุกไทยนั้นเป็นที่รับรู้กันมานานหลายปีแล้ว ซึ่งคลื่นกลุ่มทุนจีนรุ่นใหม่ที่หลั่งไหลทะลักเข้ามาตั้งหลักปักฐานในบ้านเรา เริ่มขึ้นราว ๆ ปี 2550 จุดที่คนจีนเหล่านั้นมาทำมาหากินสมัยนั้นหากเราเดินไปในย่านห้วยขวาง โดยเฉพาะเส้นประชาราษฎร์บำเพ็ญ เราจะพบเห็นชาวจีนจำนวนมาก ตั้งตัวอยู่กันเป็นชุมชน เปิดร้านขายของ ทั้งร้านอาหาร ร้านขายยา และข้าวของเครื่องใช้ คนเหล่านี้เข้ามาสร้างไชน่าทาวน์แห่งใหม่
อย่างไรก็ตาม การรุกเข้ามาของทุนจีนเริ่มแผ่วลงการค้าซบเซาหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งรัฐบาลจีนและไทยมีนโยบายปิดประเทศ แต่วันนี้หลังจากรัฐบาลจีนประกาศยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (ZERO COVID-19) กำลังจะกลายเป็นปัญหาน่าปวดหัวของรัฐบาลไทย เมื่อคลื่นคนจีนที่เข้ามาทำมาหากินได้แฝงตัวมากับนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาอีกระลอกสมทบกับที่เคยอยู่เดิมที่ยังตั้งหลักปักฐานอยู่
กระทั่งผู้ประกอบการธุรกิจในย่านเยาวราช-สำเพ็ง ต้องออกมาโวยว่า คนจีนแผ่นดินใหญ่แห่มายึดธุรกิจของคนไทยในย่านไชน่าทาวน์ "ย่านเยาวราช" ที่เป็นย่านธุรกิจของ "คนจีนในเมืองไทย" ที่อยู่กันมากว่าร้อยปีรุ่นเสื่อผืนหมอนใบกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะย่านเสือป่า สำเพ็ง จนเจ้าถิ่นต้องถอยร่น หลายรายก็ยกธงขาวยอมแพ้เลิกกิจการ
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวฮือฮาอีกครั้ง เมื่อเพจร้าน "อาม่งหม่าล่าหม้อไฟสาขาเยาวราช" โพสต์ เล่าสถานการณ์ล่าสุด ที่เกิดขึ้นบนถนนเยาวราช ย่านสำเพ็ง มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
"ตอนนี้มีคนจีนถือวีซ่านักท่องเที่ยวมาเปิดร้านอาหาร ร้านนวด ร้านขายอุปกรณ์ เต็มไปหมด ย่านเยาวราช สำเพ็ง จากเดิมเคยเป็นร้านคนไทย (เชื้อสายจีน) ตอนนี้กลายเป็นร้านคนจีนแท้ ๆ (ส่วนใหญ่วีซ่า L) ถึงจะวีซ่า L ก็เปิดบัญชีธนาคารได้ง่าย ๆ ด้วย ธุรกิจร้านอาหารจีน ไม่ต้องมีสูตรอะไรมาก มี suppliers ส่งให้เรียบร้อย มีเงินเฉย ๆ ก็เปิดร้านได้ อุปกรณ์ตกแต่งจากจีนก็มีสำเร็จรูป ไม่ต้องการฝีมือช่างไทยทำ การมาลงทุนเปิดร้านต่าง ๆ ในไทยเลยง่ายมาก ๆ"
เพจดังกล่าว ยังเล่าอีกว่า "หากหาถึงปลายทางเงินได้จากธุรกิจ แน่นอนว่าหลงเหลือ (หมุนเวียน) ในประเทศน้อย การจดบริษัทในไทยของคนจีนก็ง่าย Visa L ก็จดได้ เพียงแค่ต้องมีคนไทยถือหุ้นเยอะกว่าคนจีน SME ไทยจะเจริญได้อย่างไร เพราะความเป็นพลเมืองต้องเสียภาษีเงินได้ภาษีธุรกิจให้ประเทศ แต่นักลงทุนต่างชาติ แค่หา "nominee" ในการทำสัญญาเช่าก็จบ ปลายทางเงินได้ส่วนใหญ่อยู่ประเทศของเขา"
ขณะที่สถานการณ์ย่านสำเพ็ง ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระบาด หลายกิจการปิดไปทำให้มีตึกและห้องเช่าว่างจำนวนมาก การค้าซบเซา คนไทยขาดสภาพคล่อง จึงเป็นโอกาสของพวกคนจีนที่ทุนหนา ก็เข้ามาทุ่มเงินเช่าร้าน เซ้งตึกได้ง่าย ๆ โดยเสนอค่าเช่ามากกว่า 2 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ ใช้ลูกจ้างเป็นคนไทย เช่าหรือเซ้งตึกแทนและรับหน้าที่ทำธุรกรรมต่าง ๆ เพื่อเปิดกิจการ ซึ่งพบว่ามีทั้งร้านอาหารร้าน ร้านขายของเบ็ดเตล็ดทั่วไปโดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีน
มีข้อน่าสังเกตว่า บางร้านขายสินค้าที่ราคาถูก ในราคา 10 ถึง 30 บาท แต่กลับมีเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถจ่ายค่าเช่าตึกได้ในราคา 300,000 ถึง 500,000 บาท ต่อเดือนได้อย่างสบาย ๆ บางร้านเปิดขายของแค่ครึ่งวันหรือไม่กี่ชั่วโมงก็ปิดร้าน สงสัยว่าธุรกิจเหล่านี้ มีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือไม่
สิ่งที่น่าห่วง คาดว่าอีกไม่นานแหล่งทำมาหากินในพื้นที่นี้ก็จะถูกยึดไปหมดไม่เหลือให้คนไทยไว้ทำมาหากิน เนื่องจากคนจีนเหล่านี้ รู้แหล่งผลิตสินค้าในประเทศจีนสามารถหาของราคาโรงงานได้ ภาษีก็ไม่ต้องเสีย ขณะที่คนไทยได้ราคาที่ผ่านคนกลางอีกที แถมยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหาซื้อที่จีนอีก ทั้งค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากินค่าอยู่ ต้นทุนย่อมสูงกว่า
แต่ก่อนย่านสำเพ็งจะเป็นย่านขายของถูก แต่ทุกวันนี้เมื่อเทียบกับสินค้าที่คนจีนนำเข้ามากลายเป็นว่ามีต้นทุนแพงกว่า คนไทยที่ค้าขายย่านสำเพ็งเสือป่า จึงหันมาซื้อสินค้าจากพ่อค้าจีนขายแทน แทนที่จะไปซื้อถึงเมืองจีนแต่ระยะหลัง ๆ เจอทีเด็ดคนจีนนำสินค้ามาขายตัดราคา จนพ่อค้าไทยอยู่ไม่ได้
ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ กลุ่มทุนจีนขาวเข้ามาเพื่อทำธุรกิจเข้ามาแย่งอาชีพค้าขายของคนไทยในที่สุดก็ฮุบกิจการคนไทยไปหมด
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งน่ากลัวกว่า อีกทั้งสร้างความเสียทั้งทางเศรษฐกิจและมีปัญหาสังคมตามมา กลุ่มนี้เป็นพวก "กลุ่มทุนจีนเทา" เข้ามาทำธุรกิจสีเทาธุรกิจมืด ที่กำลังตกเป็นข่าวโด่งดังอย่าง กรณี "ตู้ห่าว" ธุรกิจจีนสีเทาเกิดขึ้นมานานแล้ว แฝงมาในรูปแบบกลุ่ม "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ที่หากินและสร้างอิทธิพลในเมืองท่องเที่ยวต่อมาขยายธุรกิจการลงทุนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
กลุ่มนี้จะเริ่มจากธุรกิจทัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนต่อมาเป็นเจ้าของโรงแรม สถานบันเทิง ผับ บาร์ บ่อนพนัน ลามไปสู่ ยาเสพติดและฟอกเงิน กลุ่มนี้จะตั้งตัวเป็นมาเฟีย ไม่เกรงกลัวกฏหมายไทยเพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐหรือแม้กระทั่งนักการเมืองให้การช่วยเหลือ
นอกจากนี้กลุ่มจีนเทายังทำธุรกิจมืดอย่างการพนันออนไลน์ การกู้เงินผ่านแอปพลิเคชัน กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ฯลฯ แล้วฟอกเงินผ่านการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ บริษัททัวร์ มหาวิทยาลัย โรงแรม ไปจนถึงร้านอาหาร ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเฉพาะอย่างยิ่งเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ
มีนักวิชาการประเมินความสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจประเทศกว่า 300,000 ล้านบาท (เป็นความเสียหายทางอาชญากรรมเทคโนโลยีที่มีทั้งคนจีนและชาติอื่น ๆ) ข้อมูลของพรรคการเมืองฝ่ายค้านประเมินว่า เฉพาะคดีตู้ห่าวคดีเดียวสร้างความหายนะให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
กล่าวสำหรับเส้นทางที่กลุ่มทุนจีน ทั้งทุนขาวและทุนดำใช้ในการเดินทางเข้ามาทำมาหากินนั้น เริ่มตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ส่วนหนึ่งมาจากการอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทาเข้าประเทศ ขอสัญชาติไทยได้โดยง่าย อีกทั้งยังอนุมัติต่อวีซ่าให้กลุ่มคนจีนที่ใช้ใบรับรองของมูลนิธิ หรือโรงเรียนสอนภาษาจำนวนมาก
จากข้อมูลของตำรวจ เฉพาะปี 2564 เพียงปีเดียว มีผู้แฝงตัวเข้ามาในลักษณะนี้มากกว่า 3,000 คน ยังไม่นับกรณีที่มีการใช้นอมินีชาวไทยบังหน้าทำมาหากินกันอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของธุรกิจสีเทา รวมถึงการแย่งชิงกิจการของทุนจีนขาวจากผู้ประกอบการรายย่อยในไทย จะไม่ลุกลามมาถึงขั้นนี้ หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และคนไทยไม่ให้ความร่วมมือ โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ทำการทุจริตเสียเอง
การที่กลุ่มทุนจีนเข้ามาสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในบ้านเรา ได้เป็นการตอกย้ำว่ามีเครือข่ายข้าราชการที่ทุจริตเห็นแก่อามิสสินจ้างอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
ที่มา https://www.thestorythailand.com/23/01/2023/88422/
#ทุนจีนสีเทา
#ปัญหาที่น่าปวดหัว
#ปัญหารัฐบาลไทย
#ทุนจีนบุกไทย
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google