ตอนนี้แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย ล้วนแต่ถูกนายทุนต่างชาติเหมาธุรกิจไปเสียหมด
24 มิ.ย. 66 09:14 น. /
ดู 16,981 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
จากข่าวที่สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เรียกร้องรัฐบาลชุดใหม่ไฟแรง เปิดกองทุนหรือ ธนาคารเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อทำให้ผู้ประกอบการนั้นได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น แล้วทำไมกัน? ทำไมกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวยังต้องการเงินทุน ทั้งที่เปิดประเทศท่องเที่ยวกันอย่างเสรี
ต้องขอย้อนกลับไปเมื่อสมัยปี 2019 ปีที่เราเผชิญวิกฤตโควิดกันแล้ว ปีนั้นประเทศเรามีนักท่องเที่ยวเกือบ40 ล้านคน ปี 2020-2021 นั้นประเทศของเราปิดสนิท สนามบินร้าง สายการบินต้องปิดตัวลงชั่วคราว ดิวตี้ฟรีไม่ต้องพูดถึงรู้จะเปิดให้ใครเดิน ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่น้อย ต่อมาปี 2022 ประเทศไทยของเราได้เปิดประเทศแบบ เปิดบ้างปิดบ้าง มีข้อแม้ต่างๆ มากมาย มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศเป็นจำนวน 11 ล้านคน
ส่วนปีนี้ ปี2023 ผ่านเทศกาลสงกรานต์ที่ทุกชาติ ต่างเดินทางเข้ามาสัมผัสเทศกาลที่เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาแล้ว ปัจจุบันเราก็มีนักท่องเที่ยวเพียง 9 ล้านคน จากตัวเลขที่กล่าวอ้างมาทั้งหมด ธุรกิจท่องเที่ยวนั้นฟื้นจริง แต่ฟื้นแบบช้ามาก เหมือนเจ้าเต่าตัวน้อยที่ค่อยเดินอย่างเชื่องช้า แต่ช้าแล้วชัวร์มั้ย?
นักท่องเที่ยวจีน คือความหวังของประเทศไทย เพราะเมื่อต้นปีมีการเปิดประเทศ เข้า -ออก ของจีน จากนั้นคนไทยก็เฮกันยกใหญ่ เหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ ออกโรงไปต้อนรับเที่ยวบินเที่ยวแรกจากจีน จนเป็นภาพข่าวใหญ่โต แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรือไม่ก็ไม่รู้เพราะ จำนวนนักท่องเที่ยวนั้น ไม่ได้มาทล่มทลายเท่าที่หวัง ซ้ำยังโดนนักธุรกิจชาวจีนที่เข้ามาทำธุรกิจ นอมินีกับคนไทย จนเป็นข่าวใหญ่โตและเป็นที่มาของคำว่า "ทุนจีนสีเทา" ที่ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะมาเท่าไหร่ กลับเกิดการใช้จ่ายกับกลุ่มนายทุนต่างชาติเสียหมด เพราะตอนนี้แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยเราไม่ว่าจะเป็น เยาวราช สำเพ็ง ห้วยขวาง ปากคลอง ล้วนแต่ถูกนายทุนต่างชาติเหมาธุรกิจไปเสียหมด
เพราะอะไรกันหรือทำไม นายทุนจีนถึงเข้ามาในไทยเยอะขนาดนี้ ?
ก็เพราะธุรกิจท่องเที่ยวของไทยปิดไปเกือบ 3 ปี ไม่ต้องบอกว่าเสียหายขนาดไหน ขนาดธุรกิจใหญ่ อาทิ ดิวตี้ฟรี สายการบินชื่อดังทั่วโลก ยังล้มแบบไม่ได้ตั้งตัว พังพินาศกันไปเป็นแถบๆ ปลด พักงานพนักงานกันเป็นแถว จะเห็นจากข่าวอาทิ ดิวตี้ฟรีให้พนักงานมาขายออนไลน์แทน สายการบินพนักงานต้องออกมาขายของกัน ขับรถส่งของกันให้ว่อนจนเกิดเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ นับประสาอะไร กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ขาดทุนย่อยยับ และไม่มีแม่แต่ทุนทำธุรกิจต่อ ถึงแม้เปิดประเทศแล้ว ยังไม่มีเงินหมุนที่จะเอามาทำธุรกิจต่อได้เลย ต้องยอมแพ้อย่างราบคราบเพราะทุนเก่าหมดทุนใหม่ไม่มียังไงหละ
เมื่อไม่มีเงินทำอย่างไรหละ?
เมื่อขาดสภาพคล่อง ก็ต้องขายธุรกิจ นี่แหละคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ที่เกิดขึ้นจริง หากรัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว ก็ควรจะมีกองทุน หรือ ธนาคารที่จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวได้เช้าถึงได้ง่ายขึ้น หรือแม้กระทั่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากภาครัฐ ไม่อย่างนั้นเราคงเห็นธุรกิจท่องเที่ยวที่มีเจ้าของเป็นคนไทยน้อยลงทุกวันอย่างแน่นอน
ที่มา : https://twitter.com/ThaiPBS/status/1659487809433145345
https://www.prachachat.net/tourism/news-1286575
ส่วนปีนี้ ปี2023 ผ่านเทศกาลสงกรานต์ที่ทุกชาติ ต่างเดินทางเข้ามาสัมผัสเทศกาลที่เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาแล้ว ปัจจุบันเราก็มีนักท่องเที่ยวเพียง 9 ล้านคน จากตัวเลขที่กล่าวอ้างมาทั้งหมด ธุรกิจท่องเที่ยวนั้นฟื้นจริง แต่ฟื้นแบบช้ามาก เหมือนเจ้าเต่าตัวน้อยที่ค่อยเดินอย่างเชื่องช้า แต่ช้าแล้วชัวร์มั้ย?
นักท่องเที่ยวจีน คือความหวังของประเทศไทย เพราะเมื่อต้นปีมีการเปิดประเทศ เข้า -ออก ของจีน จากนั้นคนไทยก็เฮกันยกใหญ่ เหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ ออกโรงไปต้อนรับเที่ยวบินเที่ยวแรกจากจีน จนเป็นภาพข่าวใหญ่โต แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรือไม่ก็ไม่รู้เพราะ จำนวนนักท่องเที่ยวนั้น ไม่ได้มาทล่มทลายเท่าที่หวัง ซ้ำยังโดนนักธุรกิจชาวจีนที่เข้ามาทำธุรกิจ นอมินีกับคนไทย จนเป็นข่าวใหญ่โตและเป็นที่มาของคำว่า "ทุนจีนสีเทา" ที่ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะมาเท่าไหร่ กลับเกิดการใช้จ่ายกับกลุ่มนายทุนต่างชาติเสียหมด เพราะตอนนี้แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยเราไม่ว่าจะเป็น เยาวราช สำเพ็ง ห้วยขวาง ปากคลอง ล้วนแต่ถูกนายทุนต่างชาติเหมาธุรกิจไปเสียหมด
เพราะอะไรกันหรือทำไม นายทุนจีนถึงเข้ามาในไทยเยอะขนาดนี้ ?
ก็เพราะธุรกิจท่องเที่ยวของไทยปิดไปเกือบ 3 ปี ไม่ต้องบอกว่าเสียหายขนาดไหน ขนาดธุรกิจใหญ่ อาทิ ดิวตี้ฟรี สายการบินชื่อดังทั่วโลก ยังล้มแบบไม่ได้ตั้งตัว พังพินาศกันไปเป็นแถบๆ ปลด พักงานพนักงานกันเป็นแถว จะเห็นจากข่าวอาทิ ดิวตี้ฟรีให้พนักงานมาขายออนไลน์แทน สายการบินพนักงานต้องออกมาขายของกัน ขับรถส่งของกันให้ว่อนจนเกิดเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ นับประสาอะไร กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ขาดทุนย่อยยับ และไม่มีแม่แต่ทุนทำธุรกิจต่อ ถึงแม้เปิดประเทศแล้ว ยังไม่มีเงินหมุนที่จะเอามาทำธุรกิจต่อได้เลย ต้องยอมแพ้อย่างราบคราบเพราะทุนเก่าหมดทุนใหม่ไม่มียังไงหละ
เมื่อไม่มีเงินทำอย่างไรหละ?
เมื่อขาดสภาพคล่อง ก็ต้องขายธุรกิจ นี่แหละคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ที่เกิดขึ้นจริง หากรัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว ก็ควรจะมีกองทุน หรือ ธนาคารที่จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวได้เช้าถึงได้ง่ายขึ้น หรือแม้กระทั่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากภาครัฐ ไม่อย่างนั้นเราคงเห็นธุรกิจท่องเที่ยวที่มีเจ้าของเป็นคนไทยน้อยลงทุกวันอย่างแน่นอน
ที่มา : https://twitter.com/ThaiPBS/status/1659487809433145345
https://www.prachachat.net/tourism/news-1286575
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย MacOS
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google