วิจารณ์ จอมขมังเวทย์

วิจารณ์ภาพยนตร์
  • เมื่อ 17 ก.พ. 55 16:04

    หนังเรื่องเป็นหนังแนวเวทย์มนต์คาถาที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมา
    เนื้อเรื่อง หนังทำได้ดี ดูแล้วไม่งง การลำดับเรื่องพอใช้ได้ แถมยังให้ข้อคิดอีกด้วย ในส่วนนักแสดงก็คงไม่ต้องบรรยายมาก ระดับนก ฉัตรชัย เล่นได้อินมากๆ ส่วนกอล์ฟก็ทำได้ค่อนข้างดี
    สรุปหนังออกแนวสืบสวนนิดๆ ถือว่าหลอนกำลังพอดี ประกอบกับนักแสดงที่เก่งๆทั้งนั้นทำให้หนังอยู่ในเกณฑ์ดี หากแก้ไขด้านCGซักนิดก็จะดีมาก

  • เมื่อ 25 ส.ค. 50 19:10

    คำเตือน: บางส่วนของคำวิจารณ์นี้เหมาะกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น เนื้อเรื่องนี่ค่อนข้างจะงง ๆ นะ ชื่อเรื่องจอมขมังเวทย์ น่าจะเน้นไปในทางนี้ให้มากๆ หน่อย แต่ที่ต้องยกนิ้วให้ก้อต้องเป็นคุณฉัตรชัยเลยเล่นจนเราอินได้ทุกบท สมเป็นนักแสดงรุ่นเก๋าจริงๆ หนังเรื่องนี้อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้มันดี ให้ 7 เต็ม 10

  • เมื่อ 8 พ.ย. 48 18:51

    ชอบมากครับ บอกได้ว่าถูกใจมาก ถ้าคนที่คิดมากหรือชอบคิดอะไรลึกแล้วเข้าใจหนังเรื่องนี้มากขึ้น

    มีข้อเตือนสติที่ดี + กับนักแสดง แสดงได้มีมากครับ จากจัดฉาก แสงสีเสียง โดนใจมาก ขาดแต่แค่ทำกราฟฟิกให้เนียนกว่านี้ รับรองไปฉายต่างชาติได้ฮือฮาแน่ๆ

  • เมื่อ 31 ต.ค. 48 21:01

    คำเตือน: บางส่วนของคำวิจารณ์นี้เหมาะกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น คิดว่าเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีทีเดียว พี่กอฟเล่นเก่ง พี่นกก็เช่นกัน มีอะไรให้คิดเยอะ คนส่วนมากอาจดูไม่รู้เรื่อง ก็เลยว่าไม่เคลียร แต่สำหรับเราคิดว่า คำตอบส่วนมากอยู่ในหนังแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะใส่ใจรายละเอียดแค่ไหน ฉากที่อิทธิตายนี่ โหดน่าดู ส่วน CG อาจยังไม่เนียนเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วชอบมาก คิดว่าคงเป็นหนังที่ดีที่สุดในรอบปีนี้แล้ว

  • เมื่อ 18 ก.ค. 48 14:21

    ภาพยนตร์น่ากลัวมาก แต่ก็สนุกดี น่าจะเติมฉากที่มีการใช้เวทมนต์ให้มากกว่านี้ สักนิด นะค่ะ

  • เมื่อ 18 ก.ค. 48 14:16

    เนื้อเรื่องของภาพยนตร์ใช้ได้ แต่น่าจะมีผู้ที่มีอาคมกว่าตัวโกงมาสู้กัน

  • เมื่อ 28 เม.ย. 48 20:15

    ในที่สุด พวกเราก็หาคำตอบของภาพยนตร์เรื่อง จอมขมังเวทย์ ได้แล้วคะ
    ต้องขอบคุณ คุณหมาเนย, คุณอสิตา และเพื่อนๆ การที่เราได้คุยกับพวกเขา ทำให้เรามองเห็นมุมมองที่กว้างมากขึ้น พวกเราช่วยกัน วิเคราะห์ หาคำตอบให้กัน จนทำให้เราค้นหาความเชื่อมโยงของเรื่องกันจนเจอ.. หนังเรื่องนี้มีคำตอบ มีเหตุผล มีฉากและภาพที่เชื่อมโยงกันอยู่ แต่รอให้เราค้นหา.....

    บอกเป็น keyword ให้ได้ค้นหากัน อยากให้ค้นหา ดู และเข้าใจด้วยตัวเอง แล้วจะรู้สึกว่ามัน ขนลุกจริงๆ

    1) สันติซ้ำรอยอิทธิ ..(ขอบคุณคุณหมาเนย อยากจะกระโดดหอมแก้มกับ key word อันนี้)….มันมีความเชื่อมโยงกับอดีตที่ผ่านมาของอิทธิยังไง
    ให้ดูพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของสันติ เหมือนเงาสะท้อนให้เห็น...ว่าอดีตที่ผ่านของอิทธิดำเนินมายังไง...

    มีฉากที่เชื่อมโยงคือ ตอนที่เปิดตัว..พี่อิทธิเดินขึ้นบันไดไป แล้วมีไฟโคมฉายผ่านสีหน้าของอิทธิ มันเป็น Feel เดียวกับ สันติ ตอนที่ไปตามล่าหาของ ยืนหันหลังแล้วหันหน้ามา มีแสงแฟลซ ฉายสีหน้าของสันติ แว๊บๆ..

    2) ลืมเรื่องไม้ไปได้ยังไง.. เปิดตัวด้วยไม้.. ปิดตัวด้วยไม้ มันคืออะไร... (ขอบคุณสิตา อยากกระโดดกอด + หอมแก้ม.. ที่บอกว่าหนังเหนียวต้องทุบต้องตี )
    ไม้คือ ไม้ที่อิทธิใช้ตีโจร ตอนฉากเปิดตัว ... และ ไม้ที่สันติ ใช้ตีอิทธิตอนฉากสุดท้ายของอิทธิ...

    3) เรื่องกรรม ที่อิทธิคุยกับพระในพิธีสวดภาณยักษ์..เป็น key word หลักเลยเหมือนกัน....
    ใจความว่า อิทธิเชื่อว่าตัวเองสามารถทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ พ้นโศก ได้ด้วยวิธีการของตัวเอง นั่นคือ พึงไสยศาสตร์ และอำนาจลึกลับ

    ซึ่งคำสอนของพระพุทธศาสนา :
    ความเชื่อทางไสยศาสตร์ อันเป็นความเชื่อในเรื่องอำนาจลึกลับนอกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งขัดกับหลักแห่งเหตุผลและหลักกฎแห่งกรรมโดยสิ้นเชิง เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ก็มิได้สรรเสริญและห้ามมิให้พระภิกษุสงฆ์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ด้วยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดความพ้นทุกข์

    ีการปล่อย ของกันด้วยอำนาจเวทย์มนตร์ เป็นวิธีทางไสยศาสตร์ คนที่มีอำนาจจิตทำได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เพราะ เป็นทางที่ผิด และสามารถฆ่าคนได้
    จึงไม่ควรยึดถือและส่งเสริม เพราะทำให้หลงยึดติดเพียงแต่อำนาจลึกลับเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถหลุดออกจากวัฎจักรของกรรมได้ และกลายเป็นกำแพงปิดกั้นปัญญามิให้รู้เข้าใจในธรรมขั้นสูง จึงไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์

    พระพุทธเจ้าท่านมีทางป้องกันสิ่งเหล่านี้อย่างเป็น วิทยาศาสตร์ว่า จิตที่สงบ จะสร้างระบบสูญญากาศก็ไม่มีแรงดึงดูดอะไรๆก็เข้ามาไม่ได้ และการแผ่เมตตา จะทำให้คนที่คิดร้ายกับเรา เปลี่ยน เป็นดี

    พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่ปัญญาในฐานะเป็นเครื่องมือในการดับทุกข์ จึงเปรียบปัญญาเหมือนประทีปที่ให้แสงสว่าง เหมือนอาวุธที่สามารถทำลายกิเลสได้ ฯลฯ เพื่อให้รู้และเข้าใจในโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เมื่อรู้ด้วยปัญญาแล้ว สามารถปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะปัญญา

    กรรมคือการกระทำจึงมีอำนาจที่สุดในการกำหนดชีวิตมนุษย์ การที่สัตว์โลกมีความแตกต่างกัน ก็ด้วยผลของกรรมที่สั่งสมมาต่างกัน กฎแห่งกรรม เป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อกระทำอย่างไร ก็ย่อมได้รับผลอย่างนั้น ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ โดยปราศจากการบังคับหรือควบคุมจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งการกระทำในการดับทุกข์ของมนุษย์จะต้องลงมือกระทำด้วยตนเอง

    ศาสนาแห่งการปฏิบัติด้วยตนเอง เกณฑ์การตัดสินความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่กรรม คือการกระทำที่เป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เมื่อความสุข ทุกข์ ดี ชั่ว ล้วนเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง การแก้ปัญหาชีวิตคือแก้ทุกข์จะต้องกระทำที่ตัวมนุษย์ของแต่ละคนเอง การที่มนุษย์แก้ปัญหาชีวิตด้วยการพึ่งพาอำนาจสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากอำนาจการกระทำของตน ชื่อว่าเป็นการแก้ปัญหาชีวิตที่ไม่ถูก การไม่สามารถหลุดออกจากวัฎจักรกรรมได้ มันไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง

    หนังทำให้เห็นภาพของกรรม ที่เกิดขึ้นจากการเลือกผิด ทำผิด ทำความชั่ว เปรียบเทียบให้เห็นถึงปลายทาง หรือจุดจบนั้น น่ากลัวแค่ไหน (เรื่องไสยศาสตร์ เมื่อใช้ในทางที่ผิด หรือการทำคุนไสยนั้น – บางส่วนมันมีส่วนของ เลือด เนื้อ , จิต , วิญญาณ ความทุกข์ทรมาน การไม่ได้ไปผุดเกิด ของคนหรือสัตว์ที่เสียชีวิตไปแล้ว) ถึงได้เปรียบเทียบเป็นภาพที่ดูแรงๆ ความน่ากลัว และสยดสยองในความรู้สึกมากๆ แบบนั้น (เหมือนเปิดประตูนรก)

    หนังเรื่อ งนี้ 80% เกือบจะ 90% ไม่ใช่ Action แบบบู๊ต่อสู้กัน เอาชนะกันด้วยอวิชาด้วยไสยศาสตร์ ไม่ใช่เลย เพราะเนื้อหนังจริงๆ เป็นหนังที่ให้เราใช้ความรู้สึกในการดู,การถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครที่ ละเอียดอ่อนมากๆ ทั้งสีหน้า อารมณ์และแววตา เพราะบางฉากหนังไม่เล่าด้วยคำพูดเลยคะ ถ้าดูจนอิน จะรู้สึกว่า อิทธิมีแต่ความทุกข์ทรมานใจ, เวลาที่อิทธิคุยกับสันติ จะมีความสะท้อนใจ ให้เห็นเสมอ

    หนังที่เราว่าเป็นหนังดี มันมีคำตอบให้หรือเปล่า มีเหตุมีผลหรือเปล่า เราสามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ไหม ว่าดียังไง หนังที่ให้ความรู้สึกกับการดูแบบนี้ …ต้องการสื่ออะไร..แล้วมีคำตอบจริงๆ...

    “หัวใจของหนังคือเรื่องของกรรม, การกระทำของตัวละคร… ส่วนไสยศาสตร์เป็นองค์ประกอบของการดำเนินเรื่อง” ผลสุดท้าย ไม่อาจหนีพ้นจากกรรมที่ทำไปได้ สิ่งที่ได้จากผู้อื่น โดยไม่บริสุทธิ์ ก็ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปให้ผู้อื่นจนหมดสิ้นเช่นกัน , การเข้าไปพัวพันกับไสยศาสตร์และใช้ในทางที่ผิด มันทำให้มืดบอด มันไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์"

    .........

  • เมื่อ 5 เม.ย. 48 21:34

    ไปดูมา 3 รอบแล้วล่ะคะ คือว่า เรื่องจอมขมังเวทย์นี้ เป็นอีกเรื่องที่ชอบมากคะ หนังมีเนื้อเรื่องที่ลึกลับ ซ่อนประเด็น ไว้ในหนังเยอะ เป็นหนังที่ไม่ใช้การบอกเล่าแบบตรงๆ เล่าด้วยภาพ,องค์ประกอบ, หลักฐาน , รูปถ่าย , มีเหตุจูงใจ , มีเหตุผล และความเชื่อมโยงอยู่ แต่ตัวหนังไม่เล่าแบบฉากต่อฉาก หรือเล่าละเอียด คือบางฉากแทบไม่ต้องใช้คำพูดเล่าเลย ให้พวกเราคนดูคิดตามและค้นหาแถมยังได้เพื่อนๆมาช่วยกันคิดและวิเคราะห์เพิ่มอีกต่างหาก ดีคะ นานๆจะมีหนังไทย แบบนี้ให้ได้มาช่วยกันวิเคราะห์ ตามความเข้าใจของแต่ละคน
    ส่วนตัวหนังเองก็ทำได้ลึกลับและซ่อนประเด็น เหมือนกับการซ่อนนิสัยและพฤติกรรมของตัวละคร และก็ชอบในส่วนที่หนังมีความละเอียดอ่อนกับการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละคร ซึ่งในส่วนนี้นักแสดงทุกคนทำได้ดีมากคะ

    ตอนแรกคิดเหมือนกันว่าตอนจบ ดูทรมานใจมากไป แต่ถ้าย้อนกลับไปดูตัวละครที่พบจุดจบในเรื่องนี้ แทบจะทุกคน ที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์และอวิชา ไม่ว่าจะเป็น ใหญ่ , ทศพล , ท่านรอง , จุ๊บแจง , มาถึงอิทธิ ล้วนแล้วแต่พบจุดจบอย่างน่ากลัว ,น่าอนาถและน่าเศร้าสลดใจ กับสันติ เองไร้สติ เป็นบ้าไปแล้ว ควบคุมตัวเองไม่ได้ ฆ่าคนอย่างไม่มีเหตุผล ภายหน้าก็จะต้องพบจุดจบที่น่ากลัวเช่นกัน

    หนังต้องการบอกว่า เมื่อเลือกทางผิด หรือทำผิด แบบนี้ทำให้สุดท้ายของชีวิตต้องพบสิ่งที่ไม่ดีแน่ๆ คะ

  • เมื่อ 30 มี.ค. 48 15:57

    ก็สนุกดีครับ ใช้ได้

  • เมื่อ 27 มี.ค. 48 22:43

    โอ ลืมนึกถึงการประหารแบบนั้นไปเลย ตะกรุดนี่เองที่ใช้หุ้มปลายไม้ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยบอก... แปะติดได้เหมือนพวกทองคำเปลวเลย แปลกจัง *0*

มีทั้งหมด 61 วิจารณ์ หน้าที่ 1 [ก่อนหน้า] 1 2 3 4 5 6 7 [ถัดไป]
เขียนวิจารณ์
จะต้องลงชื่อเข้าใช้ระบบก่อน จึงจะเขียนวิจารณ์ได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+

advertisement

วันนี้ในอดีต

เกร็ดภาพยนตร์

  • Boyhood - เอลลาร์ โคลเทรน ผู้รับบท เมสัน ตอนเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำภาพยนตร์อายุ 7 ปี และตอนถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จอายุ 18 ปี อ่านต่อ»
  • Deliver Us from Evil - โจเอล แม็กเฮล ผู้รับบท บัตเลอร์ ใช้เวลาหลายเดือนฝึกฝนขว้างมีด และศิลปะการต่อสู้เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้นักแสดงแทน เขาไม่มีบาดแผลจากการฝึกฝนหรือการถ่ายทำเลยสักแผลเดียว จนกระทั่งวันท้ายๆ ของการถ่ายทำ เขากลับมีบาดแผลเพราะใช้มีดตัดช็อกโกแลตให้ลูกชาย อ่านต่อ»

เปิดกรุภาพยนตร์

Judy Judy ในช่วงปี 1969 เป็นช่วงที่ จูดี (เรเน เซลเวเกอร์) แสดงคอนเสิร์ตที่ลอนดอนห้าสัปดาห์ติด ตั๋วขายหมดเกลี้ยงทั้งห้าสัปดาห์ ช่...อ่านต่อ»