1. สยามโซน
  2. เพลง
  3. ข่าวสารวงการเพลง

ช่วงเวลาพิเศษกับสาวเสียงหวาน เดีย แฟรมป์ตัน ในไทย

ช่วงเวลาพิเศษกับสาวเสียงหวาน เดีย แฟรมป์ตัน ในไทย

"เดีย แฟรมป์ตัน" (Dia Frampton) นักร้องสาวผู้คว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 จากรายการ เดอะ วอยซ์ อเมริกา ฤดูกาลที่ 1 และยังเป็นเจ้าของอัลบั้ม "Red" ผลงานเพลงเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตของ เดีย ที่มีเพลงคุ้นหูอย่าง "The Broken Ones" "Don't Kick The Chair" และ "Walk Away" ได้มาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อแสดงมินิคอนเสิร์ตในงานมหัศจรรย์แห่งพรรณไม้ ประจำปี 2555 ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2555

นอกจากนี้ เดีย ยังให้โอกาสสื่อมวลชนได้สัมภาษณ์เธอกันอย่างใกล้ชิด ในวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องปาริชาติ โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยท์ ราชดำริ อีกด้วย

รู้สึกอย่างไรในการมาเมืองไทยครั้งแรก

"ประสบการณ์การมาประเทศไทยครั้งแรกเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากค่ะ ดิฉันชอบมากค่ะ คือมันดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ"

การแสดงครั้งแรกในไทยเป็นอย่างไรบ้าง

"น่าทึ่งมากค่ะ แล้วก็คนเยอะกว่าที่คิดเอาไว้มากเหมือนกันค่ะ แล้วทุกคนน่ารักมาก แล้วก็มีพลังเยอะมาก ดิฉันเห็นแล้วอยากเข้าไปกอดแฟนๆ ทุกคนเลยค่ะ"

พูดภาษาไทย

"ฉันชื่อ เดีย แฟรมป์ตัน" "รักนะจุ๊บๆ" และ "อร่อย"

ทำไมถึงตั้งชื่ออัลบั้มว่า Red

"คือมันมีที่มาสมัยตอนที่ดิฉันเด็กๆ แล้วต้องเข้าโรงเรียนวันแรก คือเด็กส่วนใหญ่เวลาไปโรงเรียนวันแรกจะไม่อยากให้พ่อแม่ไปด้วย เพราะอายเพื่อนๆ ใช่ไหมคะ ดิฉันเองก็ร้องไห้เต็มที่เลย แต่ว่าแทนที่ไม่อยากให้พ่อกับแม่มาด้วย ดิฉันขอให้คุณแม่ไปโรงเรียนวันแรกกับดิฉันด้วย คุณแม่เลยพยายามปลอบโดยการบอกว่าเดี๋ยวแม่จะซื้อเสื้อกันหนาวสีแดงให้ ถ้าใส่แล้วจะได้เป็นฮีโร่ แล้วสีแดงเป็นสีที่คนชอบ เด็กผู้หญิงก็ชอบ ถ้าใส่แล้วจะทำให้มีเพื่อนเยอะ ดิฉันก็เลยรู้สึกผูกพันกับสีแดงมาตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ ทีนี้พอตั้งชื่ออัลบั้มก็ด้วยความรู้สึกเดียวกันค่ะ เหมือนช่วยสร้างความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้น แล้วเวลาตื่นเต้นก็จะรู้สึกสงบลง ก็เลยเป็นที่มาของชื่ออัลบั้มค่ะ"

พูดถึงเพลง Walk Away

"เพลงนี้เป็นเพลงที่เกิดจากตอนดิฉันอายุ 15 ปี แล้วคบกับแฟนตอนนั้น แล้วคุยกันเกี่ยวกับเรื่องรักครั้งแรกของเธอกับฉันเป็นอย่างไร แล้วแฟนในตอนนั้นก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่เขาอายุ 11 เขาก็คบหากับเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 9-10 ขวบคนนึง แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นถูกทำร้ายร่างกายจากคุณพ่อ แล้วทุกครั้งเวลาที่เด็กผู้หญิงคนนี้ถูกทำร้าย เขาก็จะมาหาแฟนของดิฉัน เหมือนมาให้ช่วยปลอบเพื่อความสบายใจอะไรอย่างนี้ค่ะ พอดิฉันได้ฟังเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เลยถามแฟน ว่าพอโตขึ้นมาได้พูดคุยหรือติดต่อกันบ้างไหม แฟนดิฉันตอนนั้นบอกว่าไม่ได้พูดคุยกันเลย ตัวดิฉันก็เลยมีความรู้สึกกับเด็กผู้หญิงคนนั้นมากค่ะ ว่าแบบตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง

ดิฉันก็เลยอยากจะแต่งเพลงเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นค่ะ โดยที่เพลงครึ่งแรกพูดถึงเรื่องที่เธอต้องเจอเรื่องร้ายๆ แล้วผ่านมันมาได้อย่างไร แล้วครึ่งหลังจะพูดถึงว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ค่ะ แล้วมาปราบคนที่ทำร้ายเขาหรือคนที่ทำไม่ดีกับคนอื่นค่ะ ดิฉันมีความรู้สึกว่าอยากให้เป็นตอนจบที่สวยงามมากกว่า แม้ว่าดิฉันจะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างค่ะ"

แล้วเพลง Don't Kick The Chair ล่ะ

"เพลงนี้เป็นเพลงที่ต่อต้านการฆ่าตัวตายค่ะ แล้วก็ต่อต้านการกลั่นแกล้งกัน เพลงนี้เหมือนเขียนให้กับวัยรุ่นทั้งหลายที่กดดันในชีวิต หรือถูกกลั่นแกล้งจนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหนทางใดๆ แล้วค่ะ ตัวดิฉันเองตอนสมัยที่เรียนอยู่ที่ยูทาห์ ก็มีเพื่อนนักเรียนผู้ชายต้องฆ่าตัวตายเพราะว่าถูกแกล้ง แล้วไม่มีใครช่วยเหลือเลย แล้ววันก่อนเข้าไปในอินเตอร์เน็ตก็อ่านข่าวเรื่องเด็กผู้หญิงฆ่าตัวตายเพราะว่าเพื่อนแกล้ง แล้วไม่มีใครช่วยเหลือยังไม่พอ คนที่แกล้งก็ถ่ายคลิปเธอด้วยอย่างสนุกสนาน มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย ดังนั้นดิฉันก็เลยอยากเขียนเพลงนี้ให้กับเด็กๆ ที่ถูกกลั่นแกล้งเหล่านี้ แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีหนทาง จริงๆ มันมีหนทางที่ดีกว่านั้น แล้วดิฉันก็เชื่อว่าเพลงนี้จะมอบความหวัง และมอบอะไรที่เป็นการมองโลกในแง่ดีให้กับเด็กๆ เหล่านั้นด้วยค่ะ"

พูดถึงเพลง I Will ที่ได้ เบลก เชลตัน มาร่วมร้องด้วย

"เพลงนี้เป็นเพลงที่ดิฉันแต่งขึ้นเพื่อขอบคุณแล้วก็แสดงความกตัญญูต่อความช่วยเหลือที่ เบลก เชลตัน (Blake Shelton) มีให้ดิฉันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ เพราะว่าความสำเร็จที่ดิฉันได้รับทุกวันนี้ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์มาจากความทุ่มเทของเขาเลยค่ะ คือดิฉันไม่รู้จะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้กับคนที่มีบุญคุณกับดิฉันขนาดนี้ ในขณะที่เขาก็มีทุกอย่างในโลก ดิฉันก็คิดว่าเอาอย่างนี้แล้วกันแทนที่จะซื้อเป็นสิ่งของ ดิฉันเลยใช้วิธีแต่งเพลงนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึง และเป็นการบอกว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ต้องการความช่วยเหลืออะไร ดิฉันจะอยู่ตรงนั้นเพื่อเขาตลอดเวลาค่ะ"

เบลก เคยพูดว่าเสียงของ เดีย ทำให้คนยิ้มได้

"เหมือนเป็นคำชมที่ดิฉันก็เขินนะคะ (ยิ้ม) แต่ก็รู้สึกขอบคุณกับคำชมนั้นค่ะ"

มีพรสวรรค์อะไรอีก นอกจากร้องเพลงและแต่งเพลง

"ดิฉันคิดว่าดิฉันเป็นนักทำอาหารมือทองค่ะ เป็นกุ๊กที่ดี (หัวเราะ) เพราะว่าดิฉันชอบทำอาหาร แล้วเวลาที่ได้รับคำชมแค่ 2-3 ครั้ง แต่รู้สึกเหมือนแบบ 7 วันผ่านไปดิฉันก็ยังจำได้ว่ายังมีคนชื่นชมดิฉันอยู่ค่ะ แล้วก็ชอบทำอาหารให้ครอบครัวทาน โดยเฉพาะอาหารเกาหลีดิฉันก็ทำได้นะคะ เพราะว่าคุณแม่เป็นคนเกาหลีค่ะ พวกบิบิมบับก็ทำได้ค่ะ แล้วก็อีกอย่างนึงเวลาทำอาหารให้หนุ่มๆ ทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเกาหลีหรืออาหารแถบเอเชีย มันเหมือนเป็นการสร้างความประทับใจที่ดีมากเป็นพิเศษด้วยค่ะ แทนที่จะทำอาหารทั่วไปก็ทำอาหารเกาหลี ดิฉันก็เลยคิดว่าดิฉันน่าจะเป็นนักทำอาหารที่เก่งพอตัวคนนึงค่ะ"

ฝากถึงแฟนเพลงชาวไทย

"ขอบคุณมากนะคะสำหรับการสนับสนุนจากแฟนๆ ชาวไทยค่ะ รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเลยที่เมื่อวาน (27 ต.ค.) มาเปิดการแสดงครั้งแรกในไทย แล้วจะมีคนชอบดิฉันมากขนาดนี้ มีคนมาดูเยอะมาก แล้วก็ร้องเพลงกับดิฉันไปด้วย รู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ แล้วดิฉันชอบอีกอย่างนึงคือเวลาที่มีแฟนเพลงร้องเพลงไปกับดิฉันได้ ดิฉันจะรู้สึกเชื่อมโยงกับแฟนๆ ได้รวดเร็วมากค่ะ แล้วชอบที่แฟนชาวไทยไม่อายที่จะแสดงออกให้รู้ว่าเขาชอบดิฉัน ในขณะที่เวลาอยู่อเมริกา คนอเมริกันเวลาฟังเพลงจะไม่กล้าแสดงออกให้รู้ว่าชอบ แต่จริงๆ ก็ชอบแหละ จะฟอร์มจัดนิดนึงอ่ะค่ะ แต่ส่วนตัวดิฉันเองเวลาชอบดนตรีอะไร หรือเวลาไปดูคอนเสิร์ต ดิฉันพร้อมที่จะแสดงออกมาเลยว่าชอบเพลงนี้ รู้สึกตื่นเต้นไปกับการได้ฟังเพลงหรือการได้ดูคอนเสิร์ตนั้นๆ ก็ขอบคุณแฟนเพลงชาวไทยสำหรับการสนับสนุน แล้วก็อยากจะกลับมาเมืองไทยอีกครั้งค่ะ"

สงวนลิขสิทธิ์ © ห้ามคัดลอก ตัดต่อ
ดัดแปลงหรือเผยแพร่ในสื่อใดๆ ก่อนได้รับอนุญาต
กดเพื่อดูรูปใหญ่ ปัดซ้าย-ขวาเพื่อดูรูปถัดไป
  • รูปภาพ 1
  • รูปภาพ 2
  • รูปภาพ 3
  • รูปภาพ 4
  • รูปภาพ 5
  • รูปภาพ 6
  • รูปภาพ 7
  • รูปภาพ 8
  • รูปภาพ 9

ความคิดเห็น