1. สยามโซน
  2. ภาพยนตร์
  3. ข่าววงการภาพยนตร์

เจสสิก้า ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ฝันไกลก้าวสู่นางแบบโลก

เจสสิก้า ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ฝันไกลก้าวสู่นางแบบโลก

"เจสสิก้า อมรกุลดิลก" สาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ผู้หญิงที่มีความฝันอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพนางแบบ และรักการแสดงออกมาตั้งแต่วัยเด็ก จนเมื่ออายุ 18 ปี ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อว่า "กอล์ฟ - รัตนา ยิ้มจันทร์" ได้เริ่มทำงานด้านถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา และได้ที่ 2 จากการประกวด "Eilte Model Look Thailand 2004" และล่าสุดกับการคว้ารางวัลสุดยอดนางแบบจากเวที "Asia's Next Top Model Cycle 1" มาหมาดๆ ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นบันไดก้าวสำคัญในวงการนางแบบของเธอเลยทีเดียว

ในปัจจุบันหลังจากได้ตำแหน่ง เจสสิก้า ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมากขึ้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นเธอเข้ามาปรากฏตัวอยู่ตามงานแฟชั่นต่างๆ ให้แฟนๆ ได้เห็นกันค่อนข้างถี่ โดยเฉพาะแค่ในเดือนนี้ตารางงานของเธอก็ค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว ซึ่ง เจสสิก้า ก็ได้ให้สัมภาษณ์ความรู้สึกว่า

เข้าไปร่วมประกวดได้อย่างไร

"จะมีให้เข้าไปแอปพลาย แล้วให้เราเขียนเรื่องราวต่างๆ มีหัวข้อให้ประมาณ 45 หัวข้อ ก็ต้องใช้เวลาทั้งวันอ่ะค่ะ ต้องใส่ให้หมด ตอนแรกก็ต้องใส่รูปเข้าไป รูปเดียวเท่านั้นนะคะ หลังจากนั้นก็ส่งไปแอปพลิเคชันแรก แล้วถ้าเขาสนใจเขาก็จะมีฟีดแบ็กกลับมาทางอีเมล ให้ส่งวีดีโอ ถ่ายยังไงก็ได้ แต่ของเจสคือได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ถ่ายทางมือถือ นั่งแล้วก็ถ่ายเองแล้วก็ส่งไป แถมส่งไปไม่ผ่านอีก ก็ต้องเอาไปลงในยูทูบเพื่อให้เขาไปเปิดดู จะได้หรือเปล่าไม่รู้ เพราะดูของคนอื่นที่บางทีเขาก็โพสต์ในยูทูบ ก็ดูโปรเฟสชันนอลมากเลย เดินแบบ ถ่ายแบบดีๆ แต่ของเจสนี่ไม่ถึง 2 นาทีด้วยซ้ำในวิดีโอ แล้วต้องพรีเซนต์เพอร์สันนอลลิตีของเราจริงๆ

ผลสุดท้ายรอไปประมาณ 2-3 วีก แล้วเขาก็ตอบกลับมา ตอนนั้นก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ คือไม่ได้แล้วล่ะ แต่ช่วงนั้นก็มีแพลนว่าจะไปฮ่องกงกับจีน เพราะว่าเอเจนซีก็เรียกตัวให้ไปอยู่เป็นเดือนไปทำงาน แพลนว่าถ้าไม่ได้เวทีนี้เจสก็จะไปฮ่องกง เพราะว่างานเยอะ ไปสะสมพอร์ตโฟลิโอสักพักนึง แล้วค่อยส่งไปให้กับอินเตอร์เนชันแนลโมเดลลิง แต่ผลสุดท้ายเขาก็เรียกมาค่ะ ตื่นเต้นมาก ทุกคนดูโปรเฟสชันนอลมาก ให้ไปเดินแบบ ถ่ายแบบ แล้วก็ถ่ายวิดีโอ แล้วก็สัมภาษณ์เยอะมาก ผลสุดท้ายก็ได้ค่ะ แต่ว่าก่อนที่จะได้นี่ต้องทำเอกสารเยอะมากเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ต้องตรวจร่างกายทุกอย่าง เกี่ยวกับไซโคโลจิสต์ทุกอย่าง หมอมาตรวจทุกสิ่งทุกอย่างเลยค่ะ เพื่อให้พร้อมจริงๆ"

ในมุมมองส่วนตัวคิดว่านางแบบคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง

"เจสคิดว่าส่วนใหญ่จะเป็นคอมเมอร์เชียลลุกส์นะ แล้วก็เวลาเขาโพสต์ท่าออกมา มันยังไม่ถึงกับไฮแฟชั่นน่ะค่ะ"

ชื่นชมเพื่อนนางแบบที่เข้าร่วมแข่งขันคนไหนเป็นพิเศษไหม

"ที่เจสชอบก็คือเจสชอบลุกส์ของ โซเฟีย (Sofia Wakabayashi) จากเจแปน น้องเขาดูสูง ดูดี แต่ว่าเขามีปัญหาแค่เรื่องถ่ายภาพ แต่ถ้าเรื่องแคตวอล์กอะไรอย่างนี้ แทรง (Trang - Thuy Trang Nguyen) กับโซเฟียจะชอบมาก ดูโปรเฟสชันนอล 2 คนนี้ที่ประทับใจในการเป็นนางแบบ แต่ว่าถ่ายแบบพวกเขาก็ไม่ค่อยได้"

แล้วอะไรที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น

"สิ่งสำคัญเลยคือมีอิเมจิเนชันในหัว พอเราไปอยู่จุดนั้น อย่างถ่ายแบบที่ฮ่องกง รถก็เยอะไปอยู่กลางถนนเลย คนก็เดินผ่านไปผ่านมา จะทำยังไงให้เราตัดพวกนี้ออกไปได้ เราก็ยืนอยู่ตรงนั้นค่ะ เราก็คิดว่าเราอยู่คนเดียว แต่เวลาที่เจสอยู่ตรงนั้นคือเจสรู้สึกจริงๆ นะคะว่าเจสอยู่คนเดียว แล้วอยู่กับแค่ตากล้อง แล้วก็ไม่มีใครเดินไปเดินมา ในความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในความฝัน ทุกคนหายไปหมดเลย อย่างชุดแดงหรือว่าใต้น้ำ เจสจะใช้อิเมจิเนชันทั้งนั้นน่ะค่ะ แล้วเหมือนมันหายไปเลยทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งเสียงหรือว่าอะไร เหมือนเราอยู่ตัวคนเดียวอยู่กับตากล้อง แล้วเราก็นึกถึงภาพเอาเองว่าต้องเป็นยังไง ภาพที่เราจะต้องใส่ชุดแดงต้องเป็นยังไง นึกภาพเอาอ่ะค่ะ คือเคลียร์ทุกอย่างในหัว โฟกัสตรงนั้นเลย"

ประทับใจโจทย์ในสัปดาห์ไหนมากที่สุด

"เจสชอบวีกชุดสีแดง ชุดที่เป็นไฮแฟชั่น ชุดหนักมากประมาณ 4 กิโล แล้วต้องทำยังไงให้มันดูปลิวไปตามลมค่ะ แล้วเหนื่อยมาก เพราะว่าเราต้องสะบัดเต็มที่ใช่ไหมคะ ก็ต้องทำออกมาแล้วดูดีที่สุด และชอบที่มันเป็นไฮแฟชั่นลุกส์ ทั้งแต่งหน้า ทั้งทำผม ทั้งชุดที่ได้ เป็นอะไรที่ชาเลนจ์มาก เพราะเจสชอบอะไรที่มันแบบชาเลนจ์จริงๆ อ่ะค่ะ ท้าทาย อยากจะทำให้ตรงโจทย์ของเขาจริงๆ"

โจทย์สัปดาห์ไหนที่ยากที่สุด

"สำหรับเจสถ่ายแบบไม่ยาก เจสจะชอบอยู่แล้ว รักที่จะทำมาตลอด เรารักอะไรสักอย่าง เราจะทำมันออกมาให้ดีอ่ะคะ แต่ที่ยากก็คือคอมเมอร์เชียลค่ะ คือบางครั้งเขาจะให้ครีเอตสตอรีเอง หาคอสตูมเอง อย่างเพลย์บอยคอมเมอร์เชียล ให้คิดไลน์เอง ให้คิดแอ็กติ้งเอง ทำทุกอย่างเองหมดอ่ะค่ะ ปกติเราเป็นนางแบบไม่ต้องมาทำอะไรเองขนาดนั้น ก็จะยาก แล้วอย่างเทรซาเม่ให้คิดไลน์เอง ให้พูดเอง ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ แล้วให้เวลาแค่ 10 นาที ใครจะทำได้เก่งขนาดนั้น เพราะจริงๆ แล้วถ่ายโฆษณาจริงก็ต้องทั้งวัน ต้องเตรียมอะไรอย่างอื่นอีก แบบชาเลนจ์จริงๆ"

มีช่วง 4 สัปดาห์ติด ที่คะแนนมาเป็นอันดับ 1

"เจสคิดว่าเป็นการที่เราสะสมคอมเม้นต์จากจัดจ์นะคะ เราเริ่มเรียนรู้ว่าต้องทำยังไง เทคนิคที่อยู่ในรายการนี้ เราจะต้องใช้เทคนิคอะไร ถึงจะเอาชนะใจกรรมการได้ แล้วเราเริ่มเก็บข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มแรก แล้วค่อยๆ พัฒนา แล้วก็ทำให้เขาเห็นว่าเรามีความสามารถ แล้วเราเริ่มพูดมากขึ้นเวลาเราไปอินเตอร์วิว เราก็จะเป็นคนแบบพูดไม่ได้คิดว่าจริงๆแล้วฉันจะชนะหรือไม่ชนะก็โอเค แต่ตอนหลังๆ เริ่มคิดยังไงฉันจะต้องชนะๆ เราพูดอย่างนี้ให้คนเขาได้เห็นค่ะ แล้วเขาก็เลยเริ่มเห็นจากที่เราลุยเวลาไปถ่ายแบบ เราลุยเต็มแรงเกิดเลยเขาก็เลยกดเราไม่ลงแล้ว ยังไงก็เอาเราไม่ลง เพราะว่าเราแรงเยอะ (หัวเราะ) เรามีแพสชันสูง คือเขาเห็นก็ว้าวๆ ทุกคน เวลาที่เจสออกไปถ่ายแบบ"

คิดว่าอะไรที่ทำให้ชนะคู่แข่งขันคนอื่นๆ

"เจสคิดว่าทุกคนพอเห็นเพอร์สันแนลลิตีของเจส เจสเป็นคนที่วางตัวดี เรียบร้อย แล้วเป็นคนที่จะเคารพคนอื่น เพราะว่าบางคนที่เป็นนางแบบเขาก็จะอยู่ในครอบครัวแบบฝรั่ง สไตล์ฝรั่งค่ะ ก็จะไม่มีลักษณะเคารพผู้ที่สูงอายุกว่า เขาก็จะคิดว่าทุกคนเป็นคนเท่าเทียมกัน แต่กับเจสตากล้องทุกคนก็จะให้ความเคารพ แล้วก็จะรับฟังคำแนะนำของเขาทุกอย่าง แล้วเขาเห็นแพสชันที่เจสอยากชนะจริงๆ ความตั้งใจสูงที่เจสสื่อออกมาให้ทุกคนได้เห็นค่ะ"

เกี่ยวกับการเลี้ยงดูของคนไทยไหม ที่มีส่วนทำให้เราได้ไปเวทีโลก

"เจสว่าเกี่ยวมากๆ ค่ะ เพราะว่าเจสอยู่ในครอบครัวไทย คนไทยเป็นคนเรียบร้อยเนอะ เป็นคนจริงใจกับทุกคน แล้วก็มีวัฒนธรรมที่สวยงามกว่า อย่างฮ่องกง เขาก็จะเป็นสไตล์แบบฝรั่ง มั่นใจ ก็จะไม่ยอมรับฟังใคร คนไทยมีความคิดเห็นแต่ก็รับฟังคนอื่นก่อน แล้วก็มาตัดสินใจที่จะพูดอะไรอย่างนี้ค่ะ"

พอลล่า เทเลอร์ บัทเทอรี่ ไปด้วยรู้สึกอย่างไร

"ก็ดีใจมากเจอพอลล่า ก็เป็นไอดอลด้วยนะคะ เพราะเขาก็เก่ง ถ่ายแบบก็เก่ง แล้วเขาก็ทำงานในวงการมาก่อน ก็รู้สึกประทับใจเขา เป็นคนที่เก่งน่ะค่ะ ก็เลยแบบดีใจ เห็นพอลล่า ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เขาก็บอกว่าสู้ๆ เราก็ภูมิใจ ดีใจค่ะ"

เวทีนี้ให้อะไรกับเราบ้าง

"เหมือนเป็นโรงเรียนที่สอนทั้งโลกที่เกี่ยวกับแฟชั่นน่ะค่ะ โลกที่เกี่ยวกับถ่ายแบบ เดินแบบ เป็นโรงเรียนที่มีคุณค่ามากนะคะ เป็นโรงเรียนที่เจสจะจดจำไปตลอดชีวิตว่าได้เข้ามาที่นี่ เขาสอนทั้งบุคลิก เปลี่ยนเราให้เป็นโปรเฟสชันนอลมากขึ้น เจสคิดว่าได้อะไรเยอะมากจากที่นี่ค่ะ พอเจสออกไปทำงานเจสก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เพราะว่าเจสผ่านอะไรที่มันเยอะ มันฮาร์ดเวิร์กมาก ไม่กลัวอะไรแล้วค่ะ เพราะว่าข้างนอกนี้มันสบายๆ แล้วค่ะ"

หลังจากชนะชีวิตเปลี่ยนไปไหม

"หลังจากชนะก็คิดว่าไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก แค่งานเยอะขึ้น คนเริ่มรู้จักขึ้น เดินไปไหน คนก็จะเริ่มเรียก เจสสิก้าๆ ขอถ่ายรูปกัน อะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็ดีใจจังเลย มีแฟนคลับเยอะแล้วคนให้กำลังใจเยอะมาก คนเขียนในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ให้กำลังใจเยอะมาก เราก็รู้สึกทำไมทุกคนดีกับเจสจังเลย ทำไมเอาใจใส่เจสขนาดนี้ เจสก็ชอบเป็นคนที่เอาใจใส่ทุกคน แคร์ทุกคน เจสก็จะตอบทุกคนอย่างในเพจก็จะตอบทุกคนเลย ไลก์ทุกคน ถ้าแบบเจสไม่ว่างจริงๆ ก็จะไลก์เอา แต่พอช่วงไหนว่างก็จะไปตอบทุกคนเลย เพราะว่าแคร์ความรู้สึกกับคนที่เขารักเรา ความรู้สึกของคนที่เขาให้กำลังใจเรา"

พอมีคนรู้จักแบบจริงๆ จังๆ รู้สึกอย่างไร

"ก็รู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าอยากให้คนไทยรู้จักเจสเยอะๆ เพราะว่าเจสมีความตั้งใจสูงมาก แล้วเจสก็อยากเป็นตัวแทนที่ได้สอนอะไรคนหลายๆ คน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม ให้กับคนไทย ที่เขาอยากจะทำงานด้านนี้ หรือว่าด้านไหนก็แล้วแต่ เพราะว่าเจสอยากเป็นคนนึงที่เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนค่ะ"

เตรียมตัวเรื่องอะไรเป็นพิเศษไหม

"ก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากค่ะ เตรียมจิตใจไปอย่างเดียวเลย เตรียมพร้อมว่าเราจะไปเจอสิ่งที่ท้าทายข้างหน้านี้ เราต้องสู้ เราไม่ได้งานนี้แต่ว่าไม่เป็นไร เราสู้งานต่อไป คือจะไม่ยอมหยุดไปเรื่อยๆ แล้วก็จะต้องไปให้ถึงท็อปๆ ให้ได้"

พอใจกับผลงานตัวเองมากแค่ไหน

"ตอนนี้เจสพอใจระดับกลางเนอะ กลางประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ค่ะ เจสอยากไปใช้ชีวิตที่ยุโรปก่อน แล้วจะบอกได้ว่าพอใจมากแค่ไหน อยากไปประสบความสำเร็จในอาชีพนางแบบให้มากกว่านี้ค่ะ ไม่ใช่ว่าได้แค่รางวัลมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ต้องพยายามดันตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ"

มีนางแบบที่ชอบเป็นพิเศษไหม

"เจสชอบ โคโค่ (Coco Rocha) มาก กำลังดังมาก เพราะว่าเขามีอินเนอร์มาก ต้องไปดูยูทูบเวลาที่เขาถ่ายแบบ เขาจะแบบออกมาทั้งสีหน้า ทั้งชุด เขาครีเอตทุกอย่าง ท่าโพสต์ เขาครีเอตทุกช็อตได้หมดเลย เลือกได้หมดเลยค่ะ แล้วคนที่ทำงานกับเขาแบบว่าเสร็จไว เพราะเขาโปรเฟสชันนอลจริงๆ ในด้านโพสต์ท่าลูกเล่นที่เขาทำออกมา ตากล้องไม่ต้องบอก คือคนที่จะถ่ายแบบได้ดีที่สุด ตากล้องจะต้องไม่บอกอะไรมาก เราต้องทำให้เขาเลย"

มองภาพของวงการนางแบบไว้อย่างไร

"มองว่าเป็นอะไรที่ครีเอทีฟ ที่เราจะพรีเซนต์เสื้อผ้า อันนี้จะโพสต์ออกมาเป็นสิ่งที่เราต้องครีเอตมัน ให้มันดูดี ให้ดูบอกคลาสเสื้อผ้า สำหรับเจสที่สำคัญคือเราโพสต์ไม่ซ้ำใคร เรามีคาแรกเตอร์การถ่ายแบบที่ไม่ซ้ำคนอื่น เพราะจุดมุ่งหมายของเจสคืออยากให้เป็นแรงบันดาลใจกับนางแบบรุ่นหลังๆ ให้มีแพสชันกับการถ่ายแบบ เดินแบบ เป็นนางแบบ ไม่ใช่แค่ยูสวย ยูอยากเดินแบบ ยูโอเค ยูได้เดินแบบ ยูได้ถ่ายแบบ

แต่ว่าการถ่ายแบบ เดินแบบ มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น คือศิลปะที่เหมือนเราเพนติ้งเราก็ใส่จินตนาการลงไป ใส่สีลงไป เจสก็อยากจะให้เด็กรุ่นหลังๆ คิดว่าการเดินแบบ ถ่ายแบบ ไม่ใช่แค่ดูสวย ไปอยู่หน้ากล้อง แล้วได้เดิน มันไม่ใช่แค่นั้น เจสคิดว่าผลตอบแทนของเจสคือ ได้ภาพที่ออกมามีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่น แล้วเราก็ชอบเวลาที่ผลมันออกมา จะได้เห็นภาพของเราที่เราครีเอตออกมา เราจะชอบมาก แล้วยิ่งเราได้ตากล้องดีๆ แบบแนวๆ มา เราก็ยิ่งอยากแอ็กติ้งมาก รูปออกมาดูดี ดูเป็นศิลปะ เจสจะชอบแนวนี้ค่ะ"

ระหว่างถ่ายแบบกับเดินแบบชอบแบบไหนมากกว่ากัน

"เจสชอบทั้ง 2 อย่าง เลือกไม่ได้เลย เจสชอบทั้ง 2 อันเลย พูดไม่ได้ ต้องทำให้ดี แต่ถ่ายแบบยากกว่าเดินแบบอยู่แล้วค่ะ เดินแบบก็แค่มาแต่งชุดแล้วก็เดินๆ ไม่ต้องแอ็กติ้งอะไรมาก แต่ว่าถ่ายแบบมันก็ยาก ต้องแอ็กติ้งให้เขา ต้องใช้อินเนอร์สูง อันนี้ก็ยากคนละระดับกันค่ะ"

หัวใจของการเป็นนางแบบคืออะไร

"เราต้องพรีเซนต์ เดรสเรา ต้องดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่มือที่เราจะต้องวาง ตั้งแต่เท้าที่เราจะต้องโพสต์ ตั้งแต่หัวที่เราจะต้องทำ หน้า ปาก ตา ทุกอย่างต้องเป๊ะหมดอ่ะค่ะ โดยหลังที่เราใส่ชุดแล้ว เราต้องศึกษาเลยค่ะ ว่าเราจะต้องทำยังไงกับชุด แล้วก็ต้องแพลนไว้ในหัวเลยค่ะ ว่าชุดนี้เราต้องเล่นอะไรกับมัน คือต้องฟังคอนเซ็ปต์จากตากล้องก่อนค่ะ จากสไตล์ลิส จากเจ้าของชุดว่าเขาต้องการแนวไหน อิเมจิเนชันออกมาจากในหัวของเราแล้วเราก็ทำมันไป แล้วสิ่งที่สำคัญเลยก็คือ ต้องเปิดนิตยสาร ดูยูทูบ ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำยังไง แล้วเก็บข้อมูลไว้ในหัวเยอะๆ แล้วเราก็จะมีไอเดียเยอะ แล้วเราก็จะทำมันออกมาได้ดี เพราะว่าไฮแฟชั่นเป็นอะไรที่ต้องมีอิเมจิเนชันสูงอ่ะค่ะ แล้วมันจะออกมาจากสีหน้าของเรา จากทุกส่วนของเรา ทั้งร่างกายของเราค่ะ"

วินัยของการเป็นนางแบบมีเรื่องอะไรบ้าง

"ต้องมีความอดทนมากนะ คือเราต้องเจอเรื่องอะไรจุกจิกๆ เจอคนขี้บ่น สไตลิสต์ขี้บ่น เจอปัญหารองเท้าไม่ฟิตบ้าง เท้าเจ็บแต่ว่ายังไงก็ยังต้องทำงาน ต้องไม่แคร์ เพราะต้องเป็นโปรเฟสชันนอลจริงๆ รองเท้าฟิตเกินไป เขามีแค่คู่เดียว เราก็ต้องทำให้ได้ ต้องใส่ให้ได้ ชุดฟิตใช่ไหม เราก็ต้องแขม่วเอา คือจะเป็นจะตายยังไง เราก็ต้องทำให้ได้ ในเมื่อเขาให้เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็ต้องเป็นโปรเฟสชันนอล ไม่ใช่มาบ่นว่าชุดไม่สวย รองเท้าใส่ไม่ได้ ห้ามพูดแม้แต่คำเดียว คือออกไปคุณคือโปรเฟสชันนอลเลย แล้วก็ทำให้ดีที่สุดอ่ะค่ะ จริงๆ มันเยอะค่ะ ต้องอดทน ถ้าเกิดไปถ่ายแบบก็ต้องไปให้ทัน ไปก่อนเวลานิดนึงก็จะดี งานจะได้เสร็จเร็ว เพราะว่าต้องมีแต่งหน้า ทำผมอะไรด้วย"

จุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตนางแบบคืออะไร

"จุดมุ่งหมายสูงสุดคือเจสอยากให้ทุกคนบนโลกนี้ รู้จักชื่อของเจสอ่ะค่ะ แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลายๆ คน ทั้งเรื่องชีวิตของเจส แล้วก็เรื่องความพยายาม ที่เจสมี เจสเป็นแค่คนธรรมดา แต่ว่ามีความพยายามสูง อยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ใช้ชีวิตที่ท้อแท้ตอนนี้ อยากให้ทุกคนสู้ และใช้ชีวิตไปในทางที่ดี อย่าไปวอกแวกไปในทางที่ไม่ดีค่ะ อย่างบางคนที่มีปัญหาครอบครัวก็คิดว่าฉันมีปัญหาครอบครัว ไม่เรียนแล้ว ไม่สนใจอะไรแล้ว ชีวิตแย่แล้ว ไม่ทำตัวดีๆ อยากจะให้คนเปลี่ยนมาเป็นในทางที่ดี คิดในสิ่งดี แล้วก็เดินทางไปในสิ่งที่ดีๆ น่ะค่ะ"

งานในประเทศไทย

"ไม่ทิ้งค่ะ เพราะช่วงนี้เดือนนี้ เจสก็อัดเต็มให้ทุกงานเลย แล้วก็ถ้ากลับมาก็อยากจะประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย กลับมาก็อยากจะให้คนไทยภูมิใจที่มีนางแบบไทยเราไป ก็จะพรีเซนต์ประเทศไทย แล้วก็ประเทศในแถบเอเชียอยู่แล้วค่ะ"

การเดินแบบในต่างประเทศต่างกับในไทยอย่างไร

"เจสว่าถ้าอินเตอร์ฯ เนี่ย การแข่งขันจะสูงนะ เพราะว่าเราต้องไปแข่งกับอินเตอร์เนชันแนลโมเดล ซึ่งลุกส์เขาดูดี ดูดีมาก ซึ่งยุโรปเป็นมาร์เก็ตที่ใหญ่ก็จริง แต่ว่าคนที่ไปแคสติ้งก็เยอะมาก แล้วแต่ละคนนี่ก็คุณภาพจริงๆ ถึงจะได้ไปได้ แล้วก็ต้องไปแข่งกับเขาอีกทีนึง ไปโชว์ให้เขาเห็นลุกส์เรา ก็ต้องมีความพยายามสูงตรงนี้ค่ะ"

เหมือนเป็นการเก็บประสบการณ์จากชีวิตที่ผ่านมา มาใช้ในปัจจุบัน

"ก็เรียนรู้มาตั้งแต่ประกวด อีลิท โมเดล เพราะว่าวงการนางแบบต้องเป๊ะ ก็เก็บมาเรื่อยๆ ทำพาร์ตไทม์ ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้แล้วก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 18 ตอนนี้ก็ 27 ก็เกือบ 10 ปี"

มีการดูแลสุขภาพหรือเวลาดูแลตัวเราอย่างไรบ้าง

"เราเป็นนางแบบ เราต้องควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้คงที่อยู่ตลอด กินผัก ผลไม้ หรือว่าผักผลไม้ปั่น จะไม่กินไขมัน ของทอดหรือว่าพิซซ่าตัดไปหมดเลย อยากกิน แต่ว่านานๆ ทีได้ ออกกำลังกายด้วย ไม่ได้ไปฟิตเยอะๆ ไปฟิตเนสแรงๆ เพราะว่าเป็นนางแบบต้องไม่ได้ดูเฟิร์มจนเกินไป แล้วก็ไม่ได้ดูแห้งจนเกินไป แต่ว่าก็ฟิตบางส่วนค่ะ ฟิตขา ฟิตแขน ฟิตหน้าท้อง อะไรอย่างนี้ค่ะ ซิตอัปที่บ้าน ยกแขนยกขา เหมือนเต้นอยู่ที่บ้าน อะไรอย่างนี้ค่ะ"

มีอะไรอยากจะแนะนำน้องๆ ที่อยากจะเข้าวงการ

"ก่อนอื่นอยากให้น้องๆ คิดว่าอยากเป็นนางแบบเพราะว่าอะไรก่อน หาตัวเองก่อน แล้วก็รักมันหรือเปล่า รักที่จะทำหรือเปล่า ไม่ใช่จะทำแค่ผิวเผิน แต่ว่าต้องตั้งใจจริง อย่างเจสเนี่ยจุดมุ่งหมายสูงมากจริงๆ ซึ่งเจสก็จะตั้งใจกว่าคนอื่นมาก พยายามมาก บอกน้องๆ ว่าไม่ต้องท้อแท้ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยววันนึงจะประสบความสำเร็จเอง แค่ตั้งใจแล้วไม่หยุดค่ะ"

สงวนลิขสิทธิ์ © ห้ามคัดลอก ตัดต่อ
ดัดแปลงหรือเผยแพร่ในสื่อใดๆ ก่อนได้รับอนุญาต
กดเพื่อดูรูปใหญ่ ปัดซ้าย-ขวาเพื่อดูรูปถัดไป
  • รูปภาพ 1
  • รูปภาพ 2
  • รูปภาพ 3
  • รูปภาพ 4
  • รูปภาพ 5
  • รูปภาพ 6
  • รูปภาพ 7
  • รูปภาพ 8
  • รูปภาพ 9
  • รูปภาพ 10
  • รูปภาพ 11
  • รูปภาพ 12
  • รูปภาพ 13
  • รูปภาพ 14
  • รูปภาพ 15
  • รูปภาพ 16
  • รูปภาพ 17
  • รูปภาพ 18
  • รูปภาพ 19
  • รูปภาพ 20
  • รูปภาพ 21
  • รูปภาพ 22
  • รูปภาพ 23
  • รูปภาพ 24
  • รูปภาพ 25
  • รูปภาพ 26
  • รูปภาพ 27

ความคิดเห็น

วันนี้ในอดีต

  • A Millionaire's First Love
    เข้าฉายปี 2007
    แสดง Hyun Bin, Lee Yeon-Hee, Lee Han-Sol
  • Lockout
    เข้าฉายปี 2012
    แสดง Guy Pearce, Maggie Grace, Peter Stormare
  • Blood and Chocolate
    เข้าฉายปี 2007
    แสดง Agnes Bruckner, Hugh Dancy, Olivier Martinez

เกร็ดภาพยนตร์

  • Viy - ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นปี 1835 ของ นิโคไล กอโกล เรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจตนหนึ่งที่แค่เพียงสบตาก็ทำให้เสียชีวิตได้ ตอนแรกภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดฉายปี 2009 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด 200 ปีของนักเขียนพอดี อ่านต่อ»
  • God Help the Girl - ตอนแรก แอลล์ แฟนนิง คือผู้รับบท แคสซี แต่เพราะปัญหาตารางงานจึงต้องถอนตัว ภายหลัง แฮนนาห์ เมอร์เรย์ เข้ามารับบทนี้แทน อ่านต่อ»
เกร็ดจากภาพยนตร์สามารถดูได้ในหน้าข้อมูลภาพยนตร์แต่ละเรื่อง

เปิดกรุภาพยนตร์

เรื่องราวของ 2 เพื่อนรัก ฮารุ (มุกิ คาโดวากิ) และ เลโอะ (นานะ โคมัตสึ) ได้ร่วมกันฟอร์มวงดนตรีชื่อ ฮารุเลโอะ ขึ้นแล้วก็เ...อ่านต่อ»